ตัวไหม เป็นเรื่องปิดลับ!!! บนเส้นทางสายไหม (Silk Road)

ภาพวาดพระถังซำจั๋ง ที่วาดขึ้นมาใหม่ โดยวาดจากงานต้นแบบซึ่งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานโตเกียว และภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของปกหนังสือ ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง แปลโดย ซิวซูหลุน

เส้นทางสายไหม ที่เชื่อมระหว่างโลกตะวันตก และโลกตะวันออก เป็นเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่ส่งผ่านวัฒนธรรม ผ่าน การค้า และมีสินค้าประเภทหนึ่ง นั่นคือ ตัวไหม ที่เป็นสินค้าสำคัญ ถึงขนาดเป็นของต้องห้ามที่ห้ามออกจากเมืองเลยทีเดียว ดังตำนานเรื่องหนึ่งที่พระถังซำจั๋งเคยบันทึกไว้ในเรื่อง “ตำนานการเผยแพร่ของตัวไหมและต้นหม่อน ในจดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง เมื่อครั้งที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย (บันทึกเล่มนี้เรียบเรียงในรัชสมัยจักรพรรดิถังไท่จงในยุคราชวงศ์ถังและเสร็จสิ้นลงในปี ค.ศ.646 และมีการแปลภาษาไทยโดย ซิว ซูหลุน แห่งมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง. สนพ.มติชน. 2547)

เมื่อพระถังซำจั๋ง เดินทางไปถึงแคว้นโคสฺตนะ (Gostana) (โขตาน ภาษาจีนออกเสียง อฺวีเถียน) ได้ยินเรื่องราวไหม เพราะแต่เดิมนั้นการเลี้ยงไหมนั้นเป็นเรื่องลับมาก แล้วกษัตริย์แห่งแคว้นนี้ก็ทราบว่า “ประเทศทางตะวันออก” (หมายถึงประเทศจีน) มีตัวไหม

กษัตริย์แห่งแคว้นนั้นก็ส่งราชทูตไปขอตัวไหม แต่กษัตริย์จากประเทศจีน  ไม่ประทานราชทูต ถึงกับมีพระบรมราชโองการถึงด่านทุกแห่งว่า ห้ามนำตัวไหมและต้นหม่อนออกราชอาณาจักร

กษัตริย์แห่งแคว้นโคสฺตนะก็คิดแผนการ จึงใช้วิธีให้พระโอรสแห่งแคว้นโคสฺตนะไปสู่ขอเจ้าหญิงแห่งจีน จนกษัตริย์แห่งประเทศจีนตอบรับการสู่ขอ กษัตริย์แห่งแคว้นโคสฺตนะส่งราชทูตจัดขบวนขันหมากไปรับเจ้าหญิง และรับสั่งกับราชทูตว่า

“ท่านจงนำความกราบทูลพระธิดากษัตริย์แห่งแคว้นตะวันออกว่า บ้านเมืองของเราไม่มีพันธุ์ไหมและต้นหม่อนที่จะทอแพรไหม นางควรที่จะนำเอาพันธุ์ของมันมาด้วย เพื่อจะได้ตัดเย็บฉลองพระองค์ของตน”

เจ้าหญิงทรงทราบ จึงได้ซ่อนพันธุ์ไหมและเมล็ดหม่อนซ่อนไว้ในพระมาลาเข้ามายังแคว้นโคสฺตนะ

เมื่อครั้งที่พระถังซำจั๋งได้เดินทางถึงแคว้นนี้ ก็ไปพบวัดมาซา เป็นวัดที่พระธิดาได้สร้างไว้ และพระถังซำจั๋ง ได้บันทึกไว้ว่า

“พระชายาจารึกกฎข้อบังคับไว้บนศิลาว่า ห้ามมิให้ฆ่าหรือทำร้ายดักแด้ตัวไหม ต้องให้ดักแด้นั้น (ฟักเป็นตัว) บินออกไปแล้ว จึงอนุญาตให้สาวเส้นไหม แม้นหากใครละเมิดคำสั่งนี้เทพเจ้าก็จะไม่ให้ความคุ้มครองอีกต่อไป พระชายาได้สร้างอารามแห่งนี้ขึ้นถวายเทพเจ้าแห่งตัวไหม เวลานี้ยังมีต้นหม่อนที่แห้งตายซากอยู่หลายต้น นัยว่าเป็นหม่อนที่ปลูกในสมัยนั้น คนเมืองนี้จึงไม่ฆ่าดักแด้มาจนบัดนี้ ถ้ามีคนแอบสาวไหมโดยที่ยับมีตัวดักแด้อยู่ในนั้น ปีต่อไปตัวไหมก็จะไม่เจริญงอกงาม”

ตำนานการเผยแพร่ของตัวไหมและต้นหม่อน” จะจริงหรือเท็จไม่ทราบได้ แต่อย่างน้อยก็สะท้อนว่า ไหมนั้นเป็นสินค้าคุณภาพดี หายากและเป็นของมีค่าในยุคนั้น