ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
สยามเริ่มใช้ “น้ำมันก๊าด” แทนการใช้น้ำมันพืช และไขสัตว์ เพื่อใช้จุดตะเกียงให้แสงสว่างตามบ้านและถนนหนทางเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2431 ซึ่งตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเป็นการสั่งซื้อจากประเทศรัสเซีย
ภายหลังจึงมีประเทศอื่นนำมาจำหน่าย เช่น พ.ศ. 2435 บริษัท รอยัลดัทช์และเซลล์ทรานสปอร์ตแอนด์เทรดดิ้ง (ปัจจุบัน คือ บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด) เป็นบริษัทต่างชาติเข้ามาทำการค้าเกี่ยวกับน้ำมันในประเทศไทยเป็นครั้งแรก, พ.ศ. 2437 บริษัท แสตนดาร์ดออยล์ แห่งนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (ปัจจุบัน คือ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด)
น้ำมันก๊าดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่มีข้อเสียคือ “ไวไฟ”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับคณะเสนาบดีว่า มีเรือบรรทุกน้ำมันเข้ามาในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก หากเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนเรือแพขึ้น น้ำมันจะเป็นเชื้อให้ไหม้มากขึ้น จะทำให้ดับเพลิงได้ยาก และเป็นที่น่ากลัว จึงเห็นควรให้มีโรงเก็บน้ำมันที่สวนแถบล่าง เหนือเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) ซึ่งห่างจากบ้านเรือน
ทางการไทยจึงได้นำความคิดเห็นที่จะตั้งโรงเก็บน้ำมัน ทำเป็นหนังสือไปปรึกษากงสุลต่างๆ
จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ภาค 8 พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงโรงสำหรับจัดเก็บน้ำมันที่จะสร้างว่า
“…ได้เอสติเม็ดราคาที่ จะต้องลงทุนทำโรงแลรักษา กับกฎหมายบังคับเรือที่บรรทุกน้ำมันแลลูกค้าที่ขายน้ำมันฉบับ 1 ไปให้ทุกกงสุล เมื่อกงสุลเห็นการประการใดให้แจ้งความมาให้ทราบ บัญชีเอสติเม็ด โรงยาว 39 ฟุตครึ่ง กว้าง 86 ฟุตครึ่ง สูง 16 ฟุต เสาตั้ง 12 ฟุต ไว้น้ำมันได้ 16,000 หีบ
ฝาขัดแตะเป็นเสาพื้น เครื่องบนไม้จริง หลังคาสังกะสี หน้าต่างที่บานแลลูกกรงเหล็ก หลังคามีรางน้ำตกที่คูรอบโรง แล้วทิ้งดินขึ้นข้างคูข้างนอกเป็นคันสูง 8 ฟุต กว้าง 10 ฟุต
ถ้าโดยเกิดเพลิงไม่ให้น้ำมันไหลลงแม่น้ำได้ แล้วมีสะพานข้ามชักได้ มีรั้วข้างนอกอีกแล้วปลูกต้นไม้รอบข้างนอกมีโรงๆ อีก 3 หลัง แล้วมีคูมีรั้วเหมือนกัน มีสะพานสำหรับขึ้นลงรวมประมาณเงิน 115 ชั่ง แลค่าใช้สอยสำหรับโรงนั้น การซ่อมแซมคิดเดือนละ 50 บาท เสมียนคนหนึ่งเดือนละ 60 บาท กุลี 2 คน เดือนละ 30 บาท คนนั่งยาม 2 คน เดือนละ 20 บาท คนเรือ 2 คน เดือนละ 16 บาท รวมเดือนละ 176 บาทที่จะต้องใช้เสมอทุกเดือน”
นี่คือต้นกำเนิดของคลังของบริษัทต่างๆ ที่ช่องนนทรีย์ คลองเตย กรุงเทพฯในปัจจุบัน
สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับน้ำมัน มีข้อความดังนี้
“กฎหมายข้อ 1 ว่า เรือกลไฟแลเรือใบลำหนึ่งลำใด ถ้าบรรทุกน้ำมันเข้ามาในกรุงเทพฯ เกิน 500 หีบแล้ว ต้องทอดสมอท้ายโรงน้ำมันหรือแวะที่สะพายโรงน้ำมันก็ได้ ให้ขนน้ำมันขึ้นไว้ในโรงเสียก่อน แล้วจึงเข้ามาได้
ข้อ 2 เรือกลไฟหรือเรือใบลำหนึ่งลำใด ถ้าบรรทุกน้ำมันไม่ถึง 500 หีบ เรือลำนั้นจะเข้ามาก็ได้ แต่ต้องขนน้ำมันส่งไปไว้ที่โรงในกำหนด 48 ชั่วโมง นับตั้งแต่เรือทอดสมอแล้ว
ข้อ 3 เรือกลไฟหรือเรือใบลำหนึ่งลำใดที่จะบรรทุกน้ำมันลงเรือก็ดี หรือขึ้นเรือก็ดี ห้ามมิให้มีผู้ถือไฟหรือสูบบุปรี่กล้องเข้ามาใกล้เคียงน้ำมันในเวลาที่ขนขึ้นขนลงนั้น ให้เจ้าของผู้ที่รับผู้ที่ส่งน้ำมันต้องเป็นธุระตามระวัง
ข้อ 4 ว่าห้ามมิให้เรือกลไฟเรือใบลำหนึ่งลำใด รับบรรทุกน้ำมันลงเรือหรือขนขึ้นในเวลากลางคืน แลห้ามมิให้เอเย่นต์และเจ้าของเรือ ขนข้ำมันไว้บนสะพานเกิน 8 หีบขึ้นไป
ข้อ 5 ว่าเรือลำหนึ่งลำใดบรรทุกน้ำมันเข้ามาในกรุงเทพฯ ถ้าเจ้าของเรือนั้นจะไม่จำหน่ายในกรุงทเพฯ เรือลำนั้นจะต้องทอดสมออยู่ท้ายโรงน้ำมัน ถ้าจะเข้ามาต้องขนน้ำมันขึ้นไว้ในโรงเสียก่อน แล้วจึงจะข้ามาได้ ถ้ามีเพียง 8 หีบ ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ข้อ 6 เรือลำเลียงลำหนึ่งลำใดที่บรรทุกน้ำมัน ต้องประพฤติตามกฎหมายนี้ทุกประการ และในเวลาที่รับรรทุกน้ำมันอยู่นั้นบ่าย 5 โมงแล้ว ห้ามมิให้เรือนั้นอยู่ในกำหนดที่ใกล้เคียงบ้านเรือน ให้ถอยไปจอดที่โรงน้ำมัน
ข้อ 7 ลูกค้าที่เอาน้ำมันเข้ามาด้วยเรือลำหนึ่งลำใด ถ้ามีเกิน 8 หีบแล้ว พอเรือลำนั้นเข้ามากรุงเทพฯ เจ้าของต้องบอกส่งน้ำมันไปไว้ที่โรง
ข้อ 8 ว่าพ่อค้าผู้หนึ่งผู้ใด ที่จะเอาน้ำมันไว้ที่ตึก บ้าน ร้าน เรือน โรง เรือ แพที่ในกำหนดใกล้เคียงบ้านเรือนในกรุงเทพฯ นั้น ไว้ได้แต่ 8 หีบ คิดเป็น 80 แกลลอน ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเอาน้ำมันไว้ที่แห่งเดียวเกิน 8 หีบเป็นอันขาด
ข้อ 9 ลูกค้าที่รับน้ำมันไว้ น้ำมันนั้นต้องไว้ในถังของเขาเอง หรือเอาไว้ในที่อื่น ให้มีฝาปิดก็ได้ ห้ามมิให้เอาน้ำมันไว้ในภาชนะที่ไม่มีฝาปิดด้วย เพื่อที่จะไม่ให้ถูกไฟ ซึ่งผู้ใดจะขีดไม่ขีดไฟ สูบบุหรี่ แลไฟอื่นแล เมื่อจะขายปลีก ผู้ที่ขายน้ำมันนั้นต้องเป็นธุระระวังอย่าขายด้วยภาชนะที่ไม่มีฝาปิด
ข้อ 10 โรงที่รับ โรงที่ส่งน้ำมันจะเปิดรับตั้งแต่เช้า 2 โมงจนบ่าย 5 โมง แลผู้จัดการโรงน้ำมันจะคิดค่าเช่าโรง หีบหนึ่งเดือนละ 4 เซ็นต์ครึ่ง เอาไว้ไม่ถึงเดือนต้องเรียก 4 เซ็นต์ครึ่งเหมือนกัน กับค่าขนน้ำมัน 2 เซ็นต์ และค่าส่งอีก 2 เซนต์ เจ้าของน้ำมันที่เอาน้ำมันไว้ในโรงต้องเสียทุกเดือนที่ขนขึ้นลงไปด้วย ให้เรือลูกค้าที่บรรทุกน้ำมันและซื้อขาย ประพฤติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าทำผิดจะปรับไหมตามสมควร ไม่เกิน 400 บาททุกครั้ง ข้อกฎหมายนี้ทำไว้จำเพาะจะได้กันมิให้เกิดเพลิง ผู้ที่ใช้น้ำมันปิโตรเลียมจะได้ระวัง แต่จะข้อหนึ่งข้อใดในกฎหมายนี้ หรือค่าปรับไหมนั้น จะยกไปลบล้างข้อกฎหมานแผ่นดินที่ว่าด้วยอาญาไฟไหม้ แลโทษผู้ซึ่งทำผิด เพราะทำไฟไหม้ทรัพย์ผู้อื่นเสียไปนั้นไม่ได้”
กฎหมาย 10 ข้อ ว่าด้วยเรื่องน้ำมันที่ไทยประกาศใช้เป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถือกฎหมายอังกฤษที่ว่าด้วยน้ำมันปิโตรเลียมและดินปืน ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้กรมพระเทวะวงศ์วโรปการ เมื่อทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ ค้นคว้าจากหนังสือ Chambers Encyclopedia. Vol.VII หน้า 456 เมื่อจุลศักราช 1240 เป็นต้นเค้า
สำหรับหนังสือที่สอบถามไปยังกงสุลต่างๆ ปรากฏว่ากงสุลเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ จะมีข้อขัดแย้งก็เฉพาะข้อปลีกย่อย เช่น บางกงสุลเห็นว่าค่าเช่าโรงและค่าขนน้ำมันขึ้นหรือลงแพง บางกงสุลก็ว่าโรงเก็บน้ำมันที่จะสร้างขึ้นที่สวนล่างนั้นไกลเกินไป ฯลฯ ซึ่งกงสุลดังกล่าวพยายามจะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ แต่เรื่องหลักการใหญ่คือการตั้งโรงสำหรับเก็บน้ำมันนั้น กงสุลทุกประเทศเห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้ โรงสำหรับเก็บ น้ำมันก๊าด จึงตั้งที่สวนล่าง เหนือเมืองนครเขื่อนขันธ์ ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ส่วนกฎหมายน้ำมันฉบับหลัง ใน รัชกาลที่ 5 ได้แก่ “พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำสยาม” ซึ่งอยู่ใน “หมวดที่ 2 ข้อบังคับสำหรับเรือบรรทุกน้ำมันปิโตรเลียในระวาง”
อ่านเพิ่มเติม :
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
ข้อมูลจาก :
เทพชู ทับทอง “กฎหมายน้ำมัน”. กรุงเทพฯในอดีต, หจก.อักษรบัณฑิต 2518
ดร. ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์. “100 ปี ‘น้ำมัน’ ในสยาม”, ใน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม 2532
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2561