ผู้เขียน | กันตพงศ์ ก้อนนาค |
---|---|
เผยแพร่ |
เณรเล่นดอกไม้ไฟจนไหม้ “วัดมหาธาตุ” กรมพระราชวังบวรสถานมงคล “วังหน้า” สมัยรัชกาลที่ 1 ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เณรสึกแล้วประหารชีวิต
โจรปล้นบ้านสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้บ้านครั้งเดียว เหตุจากอัคคีภัยถือเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุดอันดับต้นๆ ที่ไม่มีมนุษย์คนใดอยากจะเผชิญ ย้อนกลับไปช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมหาราช สืบค้นในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) จะพบว่าเหตุอัคคีภัยในรัชสมัยนี้มีอยู่อย่างน้อย 3 ครั้งที่เกิดขึ้นในพระนคร และเพลิงไหม้แต่ละครั้งก็เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในปัจจุบัน
เหตุเพลิงไหม้แรกสุด คือ เพลิงไหม้ภายในพระบรมมหาราชวัง หลักจากแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไม่นาน เมื่อ พ.ศ. 2332 วันนั้นมีฝนตกเกิดฟ้าผ่าลงหน้ามุขเด็จพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท พระที่นั่งองค์นี้เป็นพระที่นั่งไม้ที่สร้างถ่ายแบบพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาทของกรุงศรีอยุธยา ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 1
เพลิงไหม้ครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้แก่พระที่นั่งองค์นี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งทรงเป็น “วังหน้า” สมัยรัชกาลที่ 1 พระบรมวงศานุวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช พระผู้มีสมณศักดิ์ช่วยกันเกณฑ์คนมาดับไฟ แต่ก็ไม่ทันการณ์
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง รัชกาลที่ 1 มีพระราชดำรัสให้ข้าราชการช่วยกันนำพระราชบัลลังก์ลงมาทัน เมื่อเพลิงดับสนิท พระองค์พระปริวิตกว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นจะเป็นอวมงคลแก่บ้านเมืองหรือไม่ สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะ พร้อมกันถวายพระพร พร้อมทูลให้ขุนหลวงคลายพระปริวิตกว่า “อสนีบาตตกลงที่ใดย่อมถือว่าเป็นมงคลนิมิตรแม้จะเสื่อมเสียทรัพย์สมบัติ ก็เสียเท่าที่ต้องอสนีภัย”
เหล่าพระราชาคณะหาเหตุผลมาทำให้ทรงมีกำลังพระราชหฤทัยอีกว่า บางทีฟ้าผ่าต้องกำแพงเมือง ต่อให้มีข้าศึกมาประชิดพระนครก็ต้องพ่ายแพ้ไป หรือบางทีฟ้าผ่าต้องช้าง แต่เมื่อทำศึกก็ได้บ้านได้เมืองก็มี จึงไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่เป็นเรื่องมงคลมากกว่าที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง ส่วนข้าราชการก็เห็นพ้องต้องกันกับพระสงฆ์
เมื่อคลายพระราชปริวิตก พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมุหนายกเป็นแม่กองรื้อซากพระที่นั่งที่ถูกไฟไหม้ออกแล้วสร้างพระมหาปราสาทขึ้นใหม่ “พระมหาปราสาทองค์ใหม่นี้ยกออกมาตั้ง ณ ที่ข้างหน้าทั้งสิ้น มุขทั้ง 4 นั้นก็เสมอกันทั้ง 4 ทิศ ใหญ่สูงเท่าพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์กรุงเก่า….ครั้นการพระมหาปราสาทลงรักปิดทองเสร็จแล้ว จึงพระราชทานนามปราสาทองค์ใหม่ว่า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท”
พระที่นั่งองค์ดังกล่าวมีความสำคัญใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญมาหลายรัชกาล รวมทั้งพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ร่วมสิบปีจากเหตุเพลิงไหม้ในพระบรมมหาราชวัง พ.ศ. 2343 พระราชพงศาวดารได้บันทึกไว้เพียงสองบรรทัด แต่เมื่อดูสถานที่เกิดเหตุจะพบว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้กินพื้นที่วัดสามปลื้มจนถึงตลาดน้อยวัดสำเพ็ง โดยไม่ได้บอกรายละเอียดการเกิดเพลิง ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับราษฎรนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เราอาจจะทราบได้ว่าทางการมีวิธีการแก้ไขปัญหาบรรเทาความลำบากของราษฎรอย่างไรบ้าง
ถัดมาอีกหนึ่งปีเพลิงไหม้ก็เกิดขึ้นอีก แม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงเท่าสองครั้งที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานที่เกิดเหตุเป็นวัดที่ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงคุ้นเคยนั้นคือ วัดสลัก หรือ วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรมหาวิหาร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงขอพระราชทานนามพระอารามจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า “นิพพานาราม”
วัดแห่งนี้เป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกใน พ.ศ.2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเปลี่ยนนามวัดเป็น “วัดพระศรีสรรเพชญ์” ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชวรมหาวิหาร” และเป็นวัดมหาธาตุ ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้เพิ่มสร้อยนามพระอาราม เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์แรกว่า “วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์”
เหตุมีอยู่ว่าเกิดเพลิงไหม้มณฑปวัดพระศรีสรรเพชญ์ ด้วยพระสงฆ์สามเณรศิษย์วัดจุดดอกไม้ไฟเล่น เพลิงนั้นไหม้พระมณฑปเหลือแต่ผนัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงเร่งมาช่วยกันดับเพลิงที่ลุกไหม้
ด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช หรือ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงเป็นคนอารมณ์ร้อน ทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก ให้ชำระเอาความผู้จุดดอกไม้ไฟมาให้ได้ จนได้สามเณรรูปหนึ่ง มีนามว่า “วัด” เป็นผู้จุดดอกไม้ไฟ รับสั่งให้สึกออกจากการเป็นสามเณร แล้วให้นำไปประหารชีวิตเสียในค่ำวันนั้น แต่นับเป็นโชคของสามเณรวัดที่ไม่ต้องเสียหัว สมเด็จพระสังฆราชทรงขอพระอนุชาธิราชให้ไว้ชีวิต
เมื่อพระราชวังบวรสถานมงคลคลายพระพิโรธแล้วจึงไว้ชีวิตสามเณร ภายหลังสามเณรผู้นี้เป็นพระครูอยู่ที่สมุทรปราการ ส่วนพระมณฑปนั้นโปรดให้ทำเป็นหลังคาจัตุรมุขแทน
อ่านเพิ่มเติม :
- ที่มาชื่อวัดชนะสงคราม และเรื่องเล่าทัพวังหน้าพระยาเสือถวาย “เสื้อยันต์” บูชาพระ
- พระปิ่นเกล้า วังหน้าสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาไสยศาสตร์วิทยาคม ลือกันถึงขั้นหายตัวได้!?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1. (2526). กรุงเทพฯ : คุรุสภา.
ประวัติวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (โดยย่อ). http://www.watmahathat.com/history-of-wat-mahathat/ สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2561.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 เมษายน 2561