
ผู้เขียน | ศูนย์ข้อมูลมติชน (MIC) |
---|---|
เผยแพร่ |
30 เมษายน 2518 เป็นวันสิ้นสุดสงครามเวียดนาม รถถังเวียดกงรุกคืบบุกมาประชิดใกล้ชานเมือง แล้วเคลื่อนมาถึงประตูทำเนียบประธานาธิบดีในเวลาไม่นานนัก ประธานาธิบดีเดืองวันมินห์ ซึ่งรออยู่ ได้ลุกขึ้นพร้อมกล่าวต่อทหารกองหน้าของทหารเหล่านั้นว่า “การปฏิวัติมาถึงแล้ว พวกคุณก็มาแล้ว” และพูดเสริมว่า “เรากำลังรอคุณอยู่ที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ส่งมอบอำนาจให้กับคุณ” ก่อนที่ประธานาธิบดีเดืองวันมินห์จะได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายว่า “ไม่มีคำถามเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจของคุณ อำนาจของคุณถูกทำลายไปนานแล้ว คุณไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่คุณไม่มีอีกต่อไปให้ผู้อื่นได้”
“เวียดกง” หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ เป็นกลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มรัฐบาลไซ่ง่อนของเวียดนามเหนือ ที่มีสหรัฐอเมริกาสนับสนุน
สงครามครั้งนี้ สหรัฐสูญเสียประชากรชาวอเมริกันไปกว่า 56,000 คน บาดเจ็บกว่า 150,000 คน ใช้เงินไปกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนเวียดนามสูญเสียประชาชนไปกว่า 10 ล้านคน
เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในเวียดนามส่งผลถึงประเทศไทย

มีรายงานข่าวว่าในวันที่ 29 เมษายน ที่ฐานทัพสหรัฐ อู่ตะเภา สัตหีบ เครื่องบินนานาชนิดของเวียดนามใต้บินลงที่สนามบินตลอดทั้งวัน ทั้งเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เครื่องบินบรรทุก เฮลิคอปเตอร์รวม 74 เครื่อง บรรทุกชาวญวนอพยพกว่า 2,000 คน มาอยู่ที่แคมป์ทหารสหรัฐในอู่ตะเภา รวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวเขมร ซึ่งสหรัฐพามาจากพนมเปญอีกไม่น้อยกว่า 1,000 คน
ด้านจังหวัดศรีสะเกษ เครื่องบินเอฟ 5 ของเวียดนามใต้ ร่อนลงถนนสายโชคชัย-เดชอุดม เมื่อเวลา 13.45 น. เครื่องบินอยู่ในสภาพถูกยิง ยางล้อหลุด มีจรวดติดเครื่องบินด้วย แต่นักบินปลอดภัย

สถานการณ์ในเวียดนามยังเป็นข่าวใหญ่ในไทย หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 พาดหัวว่า “เวียดกงยึดไซง่อนปกครองเวียดนามใต้” ระบุเนื้อความข่าวว่าประธานาธิบดี มินห์ประกาศออกอากาศทางวิทยุไซง่อนยอมแพ้แก่เวียดกง เมื่อเวลา 10.40 น. หลังประกาศยอมแพ้ ก็มีการชักธงขาว 3 ผืนขึ้นเหนือกรมตำรวจกลางกรุงไซ่ง่อน และอีกผืนหนึ่งปลิวไสวอยู่ทางชานเมืองด้านเหนือ
ผู้นำไทยต่างออกมาแสดงความเห็น เช่น พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิจารณ์ไซ่ง่อนแตกว่า อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพราะจะได้หยุดยิงเสียที แล้วแต่ประชาชนจะปกครองกันอย่างไร
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้านในสภา กล่าวว่า “ไทยจะหลับฝันต่อไปอีกไม่ได้ว่าไซ่ง่อนแตกแล้วกรุงเทพจะไม่แตก คงจะมาถึงเราสักวัน” และบอกอีกว่า ไทยต้องไม่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรจะเริ่มความสัมพันธ์กับจีน รวมทั้งเขมรและเวียดนาม ทั้งนี้จะต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศเสียใหม่ ถ้าทหารสหรัฐถอนออกไปได้ก็จะเป็นการดี ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยแย่มาก
ฐานทัพสหรัฐในไทย หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม
หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม การมีฐานทัพสหรัฐในไทยก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ
ในการแถลงนโยบายต่างประเทศต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี กล่าวอย่างชัดเจนว่า “…เพื่อให้เกิดดุลยภาพในความสัมพันธ์กับประเทศอภิมหาอำนาจ รัฐบาลนี้…จะให้มีการถอนทหารต่างชาติออกจากประเทศไทยในระยะเวลา 1 ปี…” ซึ่งในช่วงนั้น สหรัฐยังคงมีทหารประจำการในไทย 25,000 นาย และเครื่องบินอีก 350 ลำ
รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” โดย ศิบดี นพประเสริฐ ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ปีที่ 47 ฉบับที่ 2 (2560) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
การแถลงนโยบายเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายต่างประเทศไทยแนวใหม่ ที่ต้องการลดพันธะกับสหรัฐ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในอินโดจีน ที่สหรัฐไม่อาจเอาชนะในสงครามเวียดนาม รัฐบาลนิยมตะวันตกที่เวียดนามใต้และรัฐบาลลอนนอลในกัมพูชา ต้องลงจากอำนาจด้วยชัยชนะของฝ่ายสังคมนิยม ไม่มีแนวป้องกันคอมมิวนิสต์สำหรับไทยในอินโดจีน ส่งผลให้รัฐบาลไทยไม่อาจดำเนินนโยบายต่างประเทศในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐนั้นมิได้ใกล้ชิดกันดังเดิม
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน กระทรวงการต่างประเทศได้พบข้อตกลงลับ 2 ฉบับ ส่งผลให้สหรัฐสามารถคงกำลังเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารไว้ในประเทศไทยได้อีกประมาณ 3,000 นาย

นั่นคือ ข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาวิทยุโทรคมนาคมของสหรัฐฯ พ.ศ. 2507 และ ข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาทางด้านการจัดตั้งการควบคุมและการสนับสนุนวิทยุโทรคมนาคมในไทย พ.ศ. 2508 อันเป็นที่มาของการจัดตั้ง ค่ายรามสูร จังหวัดอุดรธานี เพื่อให้สถานีเรดาร์แห่งนี้สอดแนมความเคลื่อนไหวในอินโดจีนต่อไป โดยที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของสหรัฐที่ประจำการทั้งที่อู่ตะเภา จ. ระยอง อ.เกาะคา จ. ลำปาง และฐานทัพอื่น ๆ ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูตตามข้อตกลงลับทั้งสองข้างต้น
แน่นอนว่ารัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และกระทรวงการต่างประเทศ มองสิ่งที่เกิดขึ้นว่าไม่เหมาะสมต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ
รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องการให้สหรัฐตระหนักว่า กระบวนการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลก่อนยุค “14 ตุลา” แล้ว และรัฐบาลชุดนี้ได้ตัดสินใจให้มีการถอนทหารสหรัฐ
รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” ระบุด้วยว่า นายอานันท์ ปันยารชุน หัวหน้าคณะเจรจาเรื่องการถอนทหารสหรัฐ กล่าวถึงเรื่อง “New ground rules” อันหมายถึงกรอบการดำเนินความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ประกอบไปด้วยหลักการ 7 ประการ ได้แก่
1) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐ อยู่ภายใต้อำนาจกฎหมายไทย ถ้าไม่ได้รับการยกเว้นจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ
2) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐ จะไม่ถูกนำมาใช้คุกคามหรือแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของรัฐใดๆ
3) เพื่อผลประโยชน์และความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ จะต้องมีการทำรายงานส่งถึงรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพย์สินหรืออุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น
4) การฝึกอบรมต่างๆ จะต้องใช้บุคลากรฝ่ายไทยแทนบุคลากรของฝ่ายสหรัฐ
5) บุคลากรของฝ่ายสหรัฐ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการทางด้านอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ จะต้องไม่มีจำนวนมากไปกว่าที่รัฐบาลไทยให้ความยินยอม
6) เอกสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของสหรัฐ ไม่แตกต่างกับที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของประเทศอื่นได้รับ
7) ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือแต่ละประการนั้น จะยังคงอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีแต่อาจทบทวนให้ต่ออายุ หรืออาจให้สิ้นสุดลงก่อนระยะเวลา 2 ปีก็ได้
รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับรองหลักการ 7 ประการของกระทรวงการต่างประเทศนี้ แม้ว่ามีเสียงคัดค้านมาจากบางส่วนของกองทัพ เช่น กองบัญชาการทหารสูงสุด ก็ตาม
กรณีค่ายรามสูร ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐถอยลงเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดข้อขัดแย้งและการต่อสู้ในระบบราชการไทย นั่นคือกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการต่อสู้กันระหว่างข้าราชการฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือน เช่นเดียวกับมวลชนฝ่ายหนึ่งที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้มีการถอนฐานทัพสหรัฐ และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นมวลชนฝ่ายขวาจัด ที่ต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์

ผู้นำกองทัพไทยกังวลเป็นอย่างมากกับการถอนตัวของสหรัฐออกจากไทย จนถึงกับมีข่าวลือว่าจะเกิดรัฐประหารในช่วงรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ โดยมีสัญญาณบางประการ เช่น พลเอก บุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก มีคำสั่งให้กองทัพบกเตรียมความพร้อมใน พ.ศ. 2519 หรือการที่ผู้บัญชาการทหารบกเตือนว่า การรัฐประหารอาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519
อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม ได้นำมาสู่การปิดฐานทัพสหรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 31 มกราคม 2519 รวมไปถึงการถอนทหารสหรัฐออกจากไทย
ทำให้ท้ายที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้คะแนนเสียงเพียง 23,634 คะแนน พ่ายแพ้ต่อนายสมัคร สุนทรเวช ที่ได้คะแนนเสียง 33,335 คะแนน ในเขตดุสิต ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นทหาร
รัฐบาลชุดต่อมาที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี นายพิชัย รัตตกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พยายามเดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
นายพิชัยและนายอานันท์ได้เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลเวียดนามที่กรุงฮานอย ในเดือนสิงหาคม 2519 จนได้ข้อตกลงเพื่อการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฉบับที่จะเป็นหลักฐานในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งจะต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ครั้งนั้น นายพิชัยจะต้องส่งวิทยุเข้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศ โดยมี นายเล็ก นานา รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รอฟังผลการเจรจา ทำให้เห็นอุปสรรคประการหนึ่งของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปรากฏใน รายงานเรื่อง “การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ. 2516 ถึง 2519)” ดังนี้
“…เมื่อผมบอกคุณเล็กว่าทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ขออนุมัติ ครม. ด่วน เพราะขณะนั้น ครม. กำลังประชุมอยู่ รออยู่ 1 ชั่วโมงก็ไม่มีข่าว… ถ้า ครม. ไม่อนุมัติ ผมก็เซ็นไม่ได้…ได้ความว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความคิดขวาตกขอบไม่เห็นด้วย กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ ผมก็ส่งวิทยุไปอีกเป็นครั้งที่ 3 บอกคุณเล็กว่า คุณไปบอกอาจารย์เสนีย์ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภาว่าเราจะทำอย่างนี้ บัดนี้เราทำสำเร็จแล้ว เพียงขอ ครม. อนุมัติ เพราะอาจารย์เสนีย์ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหัวหน้ารัฐบาล อย่านั่งทำเป็นเฉย คุณเล็ก ไปบอกเดี๋ยวนี้เลย อย่านั่งเฉย ต้องกล้าตัดสินใจ…”
ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามได้
สิ้นสุดสงครามเวียดนามไปแล้ว 50 ปี มาถึงวันนี้เวียดนามคือดาวรุ่งพุ่งแรงจากการส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐ เป็นคู่เจรจาที่โดดเด่นของทำเนียบขาว ในขณะที่ไทยอยู่บนทางแพร่งของการตัดสินใจท่ามกลางสงครามยุคใหม่อีกครั้ง
อ่านเพิ่มเติม :
- 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512 ชาวอเมริกันกว่าครึ่งล้านชุมนุมประท้วงการส่งทหารไปรบในสงครามเวียดนาม
- ทำไมสงครามเวียดนาม ใช้เงิน MPC เป็นเบี้ยเลี้ยงทหาร? ใครใช้? ใครผลิต?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 เมษายน 2568