ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
“ผีบุญอ้ายโนรี” ต้นทางพุทธทำนายเมืองเขมรที่เคยทำคนแตกตื่น จนรัชกาลที่ 4 ต้องทรงออกประกาศให้ราษฎรรู้เท่าทันพวกแอบอ้างในคราบผู้มีบุญ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ราษฎรบริเวณแขวงเมืองพระพุทธบาท สระบุรี ไชยบาดาล และเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองเสียมราฐ เล่าลือถึงหนังสือสำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งแอบอ้างว่าเป็นหนังสือพุทธทำนาย ว่าด้วย “ผู้มีบุญ” และได้พยากรณ์ถึงเรื่องราวต่าง ๆ นานา จนมีผู้แตกตื่นเชื่อถือแล้วคัดลอกออกมาแจกจ่ายกันอย่างแพร่หลาย
พอความเรื่องนี้ทราบมาถึงพระเนตรพระกรรณรัชกาลที่ 4 เมื่อทรงพิจารณาเนื้อความก็ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า หนังสือดังกล่าวเป็นสำนวนเขมร คงเป็นหนังสือของพวกกบฏแขวงเมืองเสียมราฐ ที่ต้องการเกลี้ยกล่อมพวกเขมรป่าดง (ชาวกูย) และลาวฝ่ายตะวันออกเมืองโคราชให้เข้าร่วมกับตน

ผีบุญอ้ายโนรี
ข้อมูลเกี่ยวกับบกฏกลุ่มนี้คือมีหัวหน้าชื่อ อ้ายโนรี พ่อเป็นไทย แม่เป็นญวน แต่อยู่เมืองเขมร พากันเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ จนเติบโต แล้วอุปสมบท ณ วัดเทพธิดาราม 2 พรรษา ก่อนจะหนีกลับไปเมืองเขมร สลัดผ้าเหลืองออกอวดอ้างตนเองว่าเป็นบุตรของ “นักองค์” คนหนึ่ง คือ นักองค์พิม เชื้อพระวงศ์เขมรที่เคยมาอยู่กรุงเทพฯ และเสียชีวิตไปนานแล้ว
เมื่ออ้ายโนรีกลับไปเมืองเขมรก็เกลี้ยกล่อมชักชวนผู้คนได้จำนวนมาก ไปซ่องสุมกันอยู่ที่นครธม กรมการเมืองนครเสียมราฐจึงตามไปจับกุมตัวได้อ้ายโนรีเพื่อมารับโทษประหาร ส่วนพรรคพวกจำนวนหนึ่งแตกกระสานซ่านเซ็นไปยังเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ กรมการเมืองทางนั้นจึงพากันตามจับ แต่บางส่วนก็ยังหลบหนีไปได้อีก และคงเป็นที่มาของหนังสือพุทธทำนายข้างต้น
รัชกาลที่ 4 ทรงมีประกาศเล่าถึงสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อวันอังคาร เดือน 10 จุลศักราช 1126 (พ.ศ. 2407) ความว่า
“อ้ายโนรีนั้นมันรู้ภาษาแลหนังสือทั้งไทยแลเขมร เห็นมันจะเขียนหนังสือนั้นออกขู่เข็ญราษฎรให้เข้าด้วย แลอ้างพระอินทร์พระพรหมอะไรไปตามวิสัยใจชาวป่า แล้วให้พวกมันเอาออกอวดเป็นความประหลาดให้คนบอกต่อ ๆ ไป
ชะรอยหนังสือนั้นลาวเมืองสระบุรีขึ้นไปเที่ยวได้ลอกมา หรือลาวข้างบนจะพาเอาลงมาด้วยถึงเมืองสระบุรีแล้วก็สำแดงต่อกันไป จึงเอิกเกริกดังนี้
บัดนี้ก็ได้ความมาแต่เมืองนครเสียมราฐ ว่าอ้ายโนรีขบถนั้นกับสมัครพรรคพวกยกมาจากพระนครหลวง พระนครธมจะเข้าตีเอาเมืองนครเสียมราฐ พระยานุภาพไกรภพ กรมการเมืองนครเสียมราฐ ได้รบต่อสู้พวกอ้ายขบถล้มตายแตกกระจัดกระจายไป พวกอ้ายโนรีกลับใจไม่เข้าด้วยอ้ายโนรี จับเอาอ้ายโนรีตัวนายขบถมาส่งต่อพระยานุภาพไกรภพ ผู้สำเร็จราชการเมืองนครเสียมราฐ แลขุนพิษณุแสนข้าหลวงเอาตัวจำไว้ได้มั่นคงแล้ว ยังชำระเอาตัวพวกพ้องต่อไปอยู่
ตัวอ้ายขบถที่ว่าเป็นผู้มีบุญนั้น ก็จะมีตราพระราชสีห์ประทับจักรให้ไปประหารชีวิตเสียโดยเร็วนี้ไม่ช้า
เพราะฉะนั้นบัดนี้จึงประกาศมาว่า ใครอย่าเชื่อถือหนังสือขู่ แลเชิดชูอ้ายคนที่ว่าเป็นผู้มีบุญอยู่ที่พระนครหลวงนั้นเลย ใครได้ลอกหนังสือนั้นไว้ แลได้พูดจาไป ก็ให้มารับสารภาพแก่ผู้รักษาเมืองกรมการเสียโดยดี จะพระราชทานโทษให้ ใครมารับสารภาพก็ให้ผู้รักษาเมืองกรมการจดชื่อไว้ อย่าเรียกค่าฤชาธรรมเนียมอะไรเลย
ถ้าผู้ใดยังเชื่อถือเอาหนังสือนั้น เที่ยวให้ออกแลเกลี้ยกล่อมคนให้เชื่อถือด้วยการกระซิบกระซาบต่อไป พิจารณาได้ความจริงจะให้มีโทษตามโทษานุโทษ”

รัชกาลที่ 4 ทรงเตือนสติเรื่องพุทธทำนายเมืองเขมร
แม้ผีบุญอ้ายโนรีจะรับโทษประหาร แต่เรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์ในหนังสือพุทธทำนาย ซึ่งรัชกาลที่ 4 ทรงเชื่อว่ามาจากขบวนการของกบฏกลุ่มนี้ก็ทำให้คนแตกตื่นไปแล้วเรียบร้อย
พระองค์จึงทรงเตือนสติเรื่องพุทธทำนายว่า หนังสือไม่มีเจ้าของที่อ้างว่าเป็นหนังสือจากเทพเทวดา หรือยักษ์-ผี ส่งให้ แล้วอ้างคำทำนายชักชวนคนให้สวดมนต์ภาวนา รักษาศีล ใครเชื่อแล้วจะอายุยืนยาวหรืออะไรทำนองนั้น ไม่ได้มีแต่สำนวนเขมร เพราะยังมีฉบับพม่า ลาว จีน หรือไทยก็ด้วย
หนังสือพวกนี้จะใช้หลักการว่า ใครนับถืออะไรก็ยกสิ่งนั้นมาล่อ หวาดกลัวอะไรก็ยกสิ่งนั้นมาขู่ โดยใช้ “วาจาชาววัดพระ ๆ เถร ๆ” ให้คนคล้อยตาม ทรงวิเคราะห์ว่า “ดูทีเหมือนจะเป็นพระหรือเถรที่อด ๆ อยาก ๆ อยู่ ไม่มีใครเขาให้ ก็จะมาขู่คนให้ทำบุญให้ทานแก่ตัว” จึงไม่ควรเชื่อถือให้เป็นประโยชน์แก่คนทุศีล ทุจริต ความตอนหนึ่งมีดังนี้
“…หนังสือลางฉบับเหล่านั้นก็กำหนดวันคืนว่าวันนั้นคนนี้ให้ปิดประตูปิดหน้าต่าง แลอย่าจุดไต้ให้เพลิงแก่ผู้ใด ใครเรียกอย่าขานใครวานอย่าไป ได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก ที่ว่าอย่างนี้ก็มี
ที่หนังสืออย่างนี้เป็นที่น่าสงสัย ชะรอยจะเป็นความคิดอ้ายผู้ร้าย คิดจะปล้นชิงวิ่งสะดมใคร ๆ แล้วจะไม่ให้ชาวบ้านช่วยกัน… อ้างว่าพระอินทร์ พระพรหม ท้าวเวสสุวรรณ พระยายมราช สั่งมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ อะไร ๆ ไปตามใจคนที่ถือลัทธิต่าง ๆ
ที่หนังสือเช่นนี้มีมาแต่หลังเท่าไรกี่ครั้งเล่า จงระลึกดู ก็การอย่างไรที่ทำนายทายทักไว้ในหนังสือนั้น การเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าไปหมดเห็นประจักษ์อยู่ จดเสียบ้างเถิดอย่าตื่นกันเชื่อถือลือเล่าไปนักเลย คำอย่างนี้เป็นคำคนโกงบ้า ๆ บอ ๆ นึกอะไรได้ก็ว่าไปอย่างนั้น นิ่งอยู่ไม่ได้…”
คำพังเพยไทยที่ว่า “ตื่นวัวตื่นควายพอดึงได้ แต่ตื่นคนดึงลำบาก” จึงไม่ผิดนัก เพราะลำบากกันถึงขั้นพระเจ้าแผ่นดินต้องทรงออกประกาศเตือนสติกันเลยทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม :
- “ศึกโนนโพ” ปราบกบฏผีบ้าผีบุญ สมัยรัชกาลที่ 5
- กบฏขรัวผู้วิเศษวัดพระปรางค์ กบฏผู้มีบุญ แห่งเมืองสวรรคโลก ที่ถูกลืม
- กบฏผู้มีบุญอีสาน ผู้นำตั้งตนเป็นผู้วิเศษ-พระศรีอริยเมตไตรย สู่จดหมายลูกโซ่ยุคแรกในไทย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ประยุทธ สิทธิพันธ์. (2506). ศาลไทยในอดีต. กรุงเทพฯ : สาส์นสวรรค์. (ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ)
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 เมษายน 2568