
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2534 |
---|---|
ผู้เขียน | กิมทอง มาศสุวรรณ |
เผยแพร่ |
ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราช เป็นสมัยที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกกำลังแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมกันอย่างสุดเหวี่ยง ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจนักล่าเมืองขึ้นประเทศแล้วประเทศเล่า จนแทบจะไม่มีเหลือ พระองค์ท่านต้องทรงรับพระราชภาระอันหนักหน่วง และมากมายอย่างที่สุด เพื่อให้ไทยเรารอดพ้นจากอุ้งเล็บของนักล่าเมืองขึ้นที่เงื้อง่าอยู่ตลอดเวลา
ความยิ่งใหญ่และมากมายแห่งพระราชภาระของพระองค์ท่านที่ทรงต่อสู้กับศึกภายนอกนี้ ทำให้เราแทบจะลืมศึกภายในรัชสมัยของพระองค์เสีย แม้ว่าจะเป็นเพียง “ศึกย่อย” ก็ตามที
ศึกดังกล่าวคือ ศึกโนนโพ หรือที่รู้กันในชื่อ การปราบกบฏผีบ้าผีบุญ
เริ่มศึกโนนโพ
“…เมื่อปีชวด ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2443) ปรากฏว่ามีลายแทง (หนังสือจารใบลาน) เป็นคำพยากรณ์ว่า ถึงกลางเดือนหกปีฉลู จะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง หินแฮ่ (หินลูกรัง) จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ฟักเขียวฟักทองจะกลายเป็นช้างม้า ควายทุยเผือกและหมูจะกลายเป็นยักษ์ขึ้นกินคน ท้าวธรรมิกราช (ผู้มีบุญ) จะมาเป็นใหญ่ในโลกนี้ ใครอยากพ้นเหตุร้ายก็ให้คัดลอกบอกความลายแทงให้รู้กันต่อ ๆ ไป ถ้าใครเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำชั่วบาปกรรมใด ๆ แล้ว ให้เอาหินแฮ่มาเก็บรวบรวมไว้ รอท้าวธรรมิกราชมาชุบเป็นเงินเป็นทองขึ้น ถ้าใครได้กระทำชั่วต่าง ๆ แต่เพื่อแสดงตนให้เป็นคนบริสุทธิ์แล้ว ก็ต้องมีการล้างบาป โดยจัดพิธีนิมนต์พระสงฆ์มารดน้ำมนต์ให้ ถ้ากลัวตายก็ให้ฆ่าควายทุยเผือกเสียก่อนกลางเดือนหก อย่าทันให้มันกลายเป็นยักษ์ต่าง ๆ นานา ผู้ที่เป็นสาวยังโสดก็ให้รีบมีผัว มิฉะนั้นยักษ์จะกินหมด…” (จากฝั่งขวาแม่น้ำโขง ของ เติม สิงหัษฐิต)
ลายแทงหรือข่าวลือดังกล่าวนี้มีอิทธิพลต่อประชาชนพลเมืองทั่วทั้งมณฑลอีสานในสมัยนั้นต่างพากันหลงเชื่อและลงมือทำการต่าง ๆ อันมีลักษณะถือว่า จะเป็นภัยร้ายแรงต่อบ้านเมือง เช่น การฆ่าหมู ฆ่าควายทุยเผือก การแตกตื่นไปเก็บหินแฮในที่ไกล ๆ จนแทบจะไม่เป็นอันทำมาหากิน เป็นต้น
ในเวลาเดียวกันก็มีผู้ฉวยโอกาสจากข่าวลือนี้ ตั้งตนเป็นผู้วิเศษขึ้นในถิ่นต่าง ๆ หลายคน ตั้งสำนักเกลี้ยกล่อมผู้คนให้เข้าเป็นสมัครพรรคพวกได้แห่งละมาก ๆ
ในบรรดาผู้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษดังกล่าวนี้ คนสำคัญที่สุดคือ องค์มั่น ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนที่อยู่เมืองโขงเจียม เมื่อต้น ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2445) ได้สมัครพรรคพวกประมาณ 200 คน แล้วยกพวกจากโขงเจียมมาเกลี้ยกล่อมผู้คนที่เมืองเขมราฐอีก ได้ฆ่าท้าวโพธิสาร กรมการเมืองตาย แล้วจับตัวพระเขมรัฐเดชนารักษ์ ผู้รักษาราชการเมืองไปเป็นประกัน จับขึ้นแคร่แห่ประจานไปจนถึงบ้านสะพือใหญ่ อำเภอตระการพืชผล อุบลราชธานี ตั้งสำนักเกลี้ยกล่อมผู้คนได้ประมาณพันคน แล้วสั่งเกณฑ์อาวุธต่าง ๆ เช่น ปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา ดาบ มีด ตลอดจนเสบียงอาหารจะยกมาตีเอาเมืองอุบลฯ
ในสมัยดังกล่าวนี้เป็นสมัยที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลอีสาน พระองค์ทรงสดับตรับฟังข่าวเกี่ยวกับลายแทงและผลที่เกิดตามมาอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกก็ทรงคิดว่าคงเป็นเพียงคนบางคนหรือบางกลุ่มคิดหากินด้วยการหลอกลวงประชาชนเท่านั้น ไม่ช้าก็จะสงบไปเอง แต่เมื่อทรงเห็นว่าเหตุการณ์ทำท่าจะลุกลามไปใหญ่ พระองค์จึงตรัสสั่งทางโทรเลข ให้พลตรีหม่อมเจ้าศรีใสเฉลิมศักดิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารนครราชสีมาในเวลานั้นจัดทหารไปสืบและระงับเหตุการณ์ทางด้านเมืองยโสธร
พลตรีหม่อมเจ้าศรีใสฯ ได้จัดทหารแบ่งเป็นสองสาย โดยให้พระสุรราช คุมพล 300 ไปจากเมืองบุรีรัมย์ พระสุรฤทธิ์ คุมพล 320 ไปจากนครราชสีมา โดยมีร้อยเอกเฟืองและร้อยโทบุดเป็นผู้ช่วย เกณฑ์กำลังที่เมืองยโสธรได้อีก 520 คน โดยมีท้าวขัตติยะเมืองยโสธรเป็นนายหมวด ออกเดินทางจากยโสธรไปจนถึงบ้านห้วยแซง พบผู้มีบุญคนหนึ่งชื่อองค์ขาว (เพราะนุ่งขาวห่มขาว) เกิดการต่อสู้กันขึ้น เพราะองค์ขาวไม่ยอมให้ทางการบ้านเมืองจับตัว ในที่สุดท้าวขัตติยะจับองค์ขาวได้นำมาให้พระสุรฤทธิ์ พระสุรฤทธิ์สั่งให้ประหาร ตัดหัวไปเสียบประจานไว้ทางทิศตะวันตกบ้าน แล้วยกพลต่อไปถึงบ้านกุดกว้าง พักสืบข่าวพวกกบฏอยู่สองวันแล้วยกกำลังต่อไปจนถึงสกลนคร จึงได้รับคำสั่งให้ยกทัพกลับ
ทางด้านบ้านสะพือนั้น เสด็จในกรมได้ตรัสสั่งให้ ม.ร.ว.ร้าย คุมตำรวจครึ่งหมวดกับคนนำทางออกไปสืบดูเหตุการณ์ ได้ประจันหน้ากับพวกผีบุญที่ออกมาสืบดูลู่ทางที่จะไปเมืองอุบลฯ เกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกของ ม.ร.ว.ร้าย มีกำลังน้อยกว่า เป็นเหตุให้ต้องล่าถอยกลับอุบลฯ เข้ากราบทูลเสด็จในกรมให้ทรงทราบ
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้พวกผีบ้าผีบุญเกิดฮึกเหิมได้ใจ ระดมสมัครพรรคพวกได้มากขึ้น จะยกมาตีเมืองอุบลฯ ใครไม่ยอมมาด้วยก็ให้ฆ่าเสีย พวกผีบ้าผีบุญก็ได้ชื่อว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ศึกโนนโพระเบิด
เสด็จในกรมได้ตรัสสั่งให้พันตรี หลวงสรกิจพิศาล ผู้บังคับการทหารอุบลฯ จัดทหารออกไปสืบดูเหตุการณ์ หลวงสรกิจได้จัดให้ร้อยตรีหรี่กับพลทหารหนึ่งโหล พร้อมอาวุธปืนครบมือ ออกไปสืบดูเหตุการณ์ตามรับสั่ง ไปเสียทีแก่พวกผีบ้าผีบุญที่ค่ายบ้านสะพือนั่นเอง เลยถูกฆ่าตายหมด มีทหารเพียงสองคนที่รอดมานำความกราบบังคมทูลเสด็จในกรม
นอกจากนี้พวกผีบ้าผีบุญยังได้ยกกำลังไปจับท้าวกรมช้าง กรมการเมืองอุบลฯ ที่โปรดให้ออกไปรักษาการอยู่ที่เมืองพนานิคม ฆ่าอีกด้วย
ชัยชนะของผีบ้าผีบุญครั้งนี้ ทำให้ได้สมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นอีกราว 1,500 คน จึงได้รวบรวมกำลังพลจะยกไปตีเอาเมืองอุบลฯ จะปลงพระชนม์เสด็จในกรมก่อนแล้วจึงจะขึ้นนั่งเมือง
เมื่อเสด็จในกรมได้ทรงทราบจากทหารสองคนที่รอดมากราบทูล จึงตรัสสั่งนายร้อยเอกหลวงชิตสรการ (จิตร มัธยมจันทร์) ผู้บังคับการทหารปืนใหญ่ กับนายสิบพลทหารประมาณ 100 คน มีปืนใหญ่ 2 กระบอก และปืนเล็กยาวครบมือออกไปปราบกบฏครั้งนี้ และโปรดเกล้าฯ ให้พระอุบลการประชานิต (บุญชู พรหมวงศานนท์) ข้าหลวงบริเวณ กับพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ผู้รักษาราชการเมือง จัดกำลังทางฝ่ายบ้านเมืองสมทบกับทหาร พระอุบลการฯ ได้สั่งให้พระสุนทรกิจวิมล (คูณ สังโขบล) กับเพียซามาตย์ (แท่ง) เป็นนายกองฝ่ายบ้านเมือง เคลื่อนกำลังทหารและพลเรือนออกจากเมืองอุบลฯ เมื่อ 2 เมษายน 2444
ในวันที่สามของการเดินทางก็มาถึงบ้านสะพือใหญ่ในเวลากลางคืน ร.อ.หลวงชิตฯ ได้ให้กำลังพลส่วนหนึ่งตั้งที่ดงบ้านสา อีกส่วนหนึ่งพักอยู่ห่างหมู่บ้าน และค่ายของพวกผีบ้าผีบุญราว 50 เส้น จัดให้พระสุนทรกิจวิมลเป็นปีกขวา เพียซามาตย์เป็นปีกซ้าย ให้ตั้งปืนใหญ่ไว้ใต้ซุ้มไม้ในป่าทึบ ใกล้ทางเลี้ยวที่ตรงจากบ้านสะพือมาเมืองอุบลฯ ซุ่มกองกำลังไว้ในป่าสองข้างทาง มุ่งจู่โจมขณะที่พวกผีบ้าผีบุญผ่านเส้นทางนั้น

วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 09.00 น. พวกผีบ้าผีบุญยกกองกำลังของตัวออกมา มุ่งไปตามเส้นทางที่ร.อ.หลวงชิตฯ ซุ่มปืนใหญ่และทหารไว้
ร.อ.หลวงชิตฯ ได้สั่งให้ทหารปืนเล็กยาวหมวดหนึ่งขยายแถวออกยิงทำเป็นต้านทานไว้ แล้วทำเป็นถอยไป หลอกให้พวกผีบ้าผีบุญมุ่งมาตามทางที่มีการพรางไว้นั้น พอเข้าระยะวิถีกระสุนปืนใหญ่ ร.อ.หลวงชิตฯ ก็สั่งให้ยิงออกไป 1 นัด โดยตั้งระยะยิงให้ลูกปืนใหญ่ตกเลยกองกำลังของพวกผีบ้าผีบุญไปก่อน และเป็นสัญญาณแก่ปีกซ้ายด้วย
พวกผีบุญเห็นลูกปืนใหญ่ไม่ถูกพวกของตัวก็พากันกำเริบดีใจ โห่ร้องเต้นแร้งเต้นกากันใหญ่ เชื่อในอิทธิฤทธิ์ขององค์มั่นว่าเป็นผู้วิเศษจริง จึงได้คลาดแคล้วจากลูกปืนใหญ่ ต่างโห่ร้องวิ่งกรูเข้าต่อสู้กับทหาร
ร.อ.หลวงชิตฯ ได้สั่งให้ปืนใหญ่ยิ่งไปอีกเป็นลูกที่สอง คราวนี้ถูกระหว่างกลางพวกผีบ้าผีบุญพอดี ทำให้ล้มตายกันระเนระนาด ส่วนทหารปืนเล็กสั้นยาวและปีกซ้าย-ขวา ก็ตีโอบและระดมยิงเข้ามาอีก ทำให้กองกำลังของพวกผีบ้าผีบุญที่ตามหลังมาต้องหยุดชะงัก
พอปืนใหญ่นัดที่สามถูกยิงออกไปอีกทำให้พวกผีบ้าผีบุญล้มตายกันในตอนนี้ประมาณ 300 คน พวกที่เหลือต่างก็วิ่งหนีเอาชีวิตรอด
ในช่วงเวลาแห่งการสัประยุทธ์นี้ องค์มั่นนุ่งขาวห่มขาว เดินประนมมือ เสกเป่ามากลางไพร่พล เมื่อเห็นพวกตนต้องล้มตายลงอย่างมากมายก่ายกอง เห็นไม่ได้การเลยปลอมตัวเป็นชาวบ้าน หลบหนีไปกับพรรคพวกราว 10 คน กองกำลังทางฝ่ายบ้านเมืองพยายามติดตามอย่างกวดขัน แต่ไม่ทัน มาทราบในตอนหลังว่าข้ามโขงไปแล้ว
เหตุการณ์ระหว่างการต่อสู้ทั้งหมดนี้ผู้เขียนอาศัยข้อความจากหนังสือ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ของคุณเติม สิงหัษฐิต ตามที่ได้อ้างถึงมาแล้ว
มีสิ่งที่ควรกล่าวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คืออาวุธที่ใช้ในการปราบกบฏครั้งนี้น่า จะมีปืนกลแบบเก่ารวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 1 กระบอก เพราะผู้เขียนได้เห็นปืนชนิดนี้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีข้อความบอกไว้ว่า เป็นปืนที่เคยใช้ในสงครามกลางเมือง (Civil War) ในอเมริกา และเคยใช้ปราบกบฏผีบ้าผีบุญด้วย
ส่วนมงกุฎซึ่งที่แท้ก็คือหมวกหนีบนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าองค์มั่นอาจได้มาจากทหารฝรั่งเศสในสมัยนั้น ทั้งปืนและหมวกมีอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอฝากท่านผู้อ่านและท่านผู้รู้ไว้พิจารณา

เมื่อการปราบพวกกบฏที่โนนโพสิ้นสุดลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดให้มีตราสั่งไปทุกหัวเมืองว่า ให้เจ้าหน้าที่สืบจับพวกผีบ้าผีบุญซึ่งยังมีกระเส็นกระสายอยู่ หรือผู้ที่สมรู้ร่วมคิดการร้ายครั้งนี้ส่งไปยังเมืองอุบลฯ โดยด่วน อย่าได้ให้มีการหลบหนีได้เป็นอันขาด หากผู้ใดปกปิดพวกเหล่าร้ายและหลบหนีไปได้ จะเอาโทษแก่ผู้ปกปิดและเจ้าหน้าที่หัวเมืองนั้น ๆ อย่างหนัก
สมัครพรรคพวกของผีบ้าผีบุญที่จับได้ที่บ้านสะพือนั้น มีเป็นอันมาก จนคุกตะรางที่จะคุมขังมีไม่พอ เจ้าหน้าที่ได้จองจำไว้ที่ทุ่งศรีเมือง 2-3 วัน ต้องกรำแดดกฝนตายเสียในระหว่างคุมขังก็มี ได้รับการตัดสินปล่อยตัวหรือภาคทัณฑ์ก็มี เพราะเหตุเป็นเพียงผู้หลงผิด คงเหลือจำคุกแต่น้อย
ในบรรดาผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษในครั้งนี้ที่สำคัญ ๆ มี 8 คน ในจำนวนนี้คนหนึ่งเป็นบรรพชิตที่ได้รับการผ่อนผันจากการลงอาญาของทางฝ่ายบ้านเมือง อีกคนตายระหว่างคุมขังก่อนพิพากษาโทษ คงเหลือ 6 คน ที่ต้องรับคำพิพากษา ของคณะกรรมการตุลาการถึงขั้นประหารชีวิต
การประหารชีวิตพวกกบฏในครั้งนี้ ทำให้เมอร์ซิเออร์ ลอร์เรน (M. Lorraine) ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลสยาม ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ ณ เมืองอุบลฯ ได้ทูลถามเสด็จในกรมว่า “พระองค์มีอำนาจอย่างไรในการที่มีรับสั่งให้ประหารชีวิตคน ก่อนได้รับพระบรมราชานุญาต”
เสด็จในกรมทรงตอบว่า “ให้นำความกราบบังคมทูลดู”
ศึกโนนโพได้ถึงกาลอวสาน ด้วยประการฉะนี้
อ่านเพิ่มเติม :
- กบฏผู้มีบุญอีสาน ผู้นำตั้งตนเป็นผู้วิเศษ-พระศรีอริยเมตไตรย สู่จดหมายลูกโซ่ยุคแรกในไทย
- เทียบตำนาน “หลวงปู่เณรคำ” จากกบฏอีสานในอดีต สู่ผีบุญยุคทุนนิยมในปัจจุบัน
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 กันยายน 2565