“หมอบรัดเลย์” แรกเห็นบางกอกสมัย ร.3 ถึงกับหดหู่ใจ เพราะอะไร?

หมอบรัดเลย์ เคย เข้าเฝ้า สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ส่วน ภรรยา คือ มิสซิสบรัดเลย์ เคย ทำ กาสอนภาษาอังกฤษแก่เจ้าจอม หมอบรัดเลย์เข้าบางกอก
หมอบรัดเลย์

หมอบรัดเลย์แรกเห็นบางกอก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้บันทึกถึงความประทับใจแรกเห็นดินแดนซีกโลกตะวันออกแห่งนี้ไว้อย่างไรบ้าง?

แดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley) หรือ “หมอบรัดเลย์” มิชชันนารีชาวอเมริกัน เดินทางถึงบางกอกเมื่อ พ.ศ. 2378 ช่วงแรกเขาพำนักที่บ้านของศาสนาจารย์สตีเฟน จอห์นสัน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้วัดเกาะ แถวสำเพ็ง ก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปอยู่แถวกุฎีจีน

เมื่อแรกสัมผัสผืนดินบางกอก หมอบรัดเลย์ได้เล่าถึงสภาพแวดล้อมและบ้านเรือนที่พบเห็นไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่โดยผู้เขียนบทความ)

หมอบรัดเลย์ วินิจฉัย ภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ประชวรด้วยโรคอะไร และ คัดค้าน การอยู่ไฟ นายห้างหันแตร หมอบรัดเลย์แรกเห็นบางกอก
หมอบรัดเลย์

“เช้าวันแรกข้าพเจ้าตื่นขึ้นในบางกอก ข้าพเจ้าเหลียวไปเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวแล้วอดที่จะรู้สึกสลดหดหู่ใจเสียมิได้ ข้าพเจ้านึกในใจว่าทิวทัศน์ธรรมชาติของที่นี่กับที่สิงคโปร์ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ที่พักของมิชชันนารีที่นี่ช่างซอมซ่อเมื่อเทียบกับบ้านอันน่าอยู่ที่เราเคยพักอาศัยบนเกาะงดงามนั้น และบ้านของบรรดาเพื่อนบ้านก็ล้วนดูสกปรกมอซอเสียนี่กระไร

ไม่มีอะไรที่มองดูรื่นรมย์เลยสักนิด เว้นแต่ภาพแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งถูกบดบังอยู่จนเห็นแต่เพียงนิดเดียว ถ้าไม่เดินออกไปดูตรงทางเท้าอันไม่ชวนเดินซึ่งทอดไปถึงแม่น้ำนั้น ไม่เห็นภูขาเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะมองไปทางทิศใด

ที่ที่บ้านพักมิชชันนารีตั้งอยู่เป็นที่ลุ่มมีน้ำขังเฉอะแฉะอยู่ท้ายตลาดใหญ่และดูจะเป็นส่วนที่ต่ำที่สุดในบริเวณนั้นจริงๆ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แถบนั้นเป็นที่ที่กานับพันๆ ตัวมาเกาะนอนยามค่ำคืน เสียงร้อง “กากา-กากา” ที่มันร้องจ้อกแจ้กกันตอนเช้าตรู่และตอนพลบค่ำเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย

ถ้ามีเพียงเสียงกาอย่างเดียวข้าพเจ้าคงพอจะอดทนไม่บ่นสักคำ แต่พอปนเปไปกับเสียงประดังกันอย่างไม่หยุดหย่อนของพวกจิ้งหรีด กบ เขียด เสียงเห่าหอนของสุนัขเสียงขู่ฟ่อของแมวแล้ว ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าบ้านพักมิชชันนารีของเราออกจะเลวร้ายเต็มทนอยู่ชั่วระยะหนึ่ง”

โอสถศาลา จิตรกรรมฝาผนัง วัดกัลยาณมิตร หมอบรัดเลย์แรกเห็นบางกอก
โอสถศาลาของหมอบรัดเลย์ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารน้อย วัดกัลยาณมิตร เขียนในสมัยรัชกาลที่ 3 (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2553)

ภายใน 1-2 สัปดาห์แรกที่หมอบรัดเลย์แรกเห็นบางกอก หมอบรัดเลย์และคณะได้จัดตั้ง “โอสถศาลา” ขึ้นในที่พักชั่วคราว และเปิดทำการ 2 ช่วง ช่วงแรกตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า และอีกช่วงคือตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม

ถึงจะเป็นการแพทย์แบบตะวันตกที่ชาวสยามส่วนมากไม่คุ้นชิน แต่ก็มีคนไข้มารับการรักษาแบบที่เรียกว่า “แน่นขนัด” ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก คนไข้มีจำนวนมากเสียจนหมอบรัดเลย์บันทึกว่า บางทีแค่ตอนเช้าวันเดียวต้องรักษาคนไข้มากกว่า 100 คน และในการรักษา หมอบรัดเลย์ได้มอบข้อความสั้นๆ จากพระคัมภีร์ให้คนไข้ด้วย

“ปีแรกที่ข้าพเจ้าอยู่ในสยาม โอสถศาลาของเรารักษาคนไข้มากกว่า 3,500 คน มีอายุตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไปจนถึงอายุ 100 ในสมุดที่ข้าพเจ้าลงรายการไว้มี 180 โรค โรคที่เป็นกันมากที่สุดได้แก่ โรคแผลเกี่ยวกับผิวหนัง รองลงมาคือโรคเกี่ยวกับตา” หมอบรัดเลย์ เล่า

แม้เมื่อแรกเดินทางถึงบางกอก หมอบรัดเลย์จะมองด้วย “แว่น” แบบชาวตะวันตก แต่ต่อมาเมื่อหมอบรัดเลย์ใช้ชีวิตอยู่ในสยามนานเข้าก็พยายามปรับตัวและทำความเข้าใจวิถีแบบชาวสยาม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วิลเลียม แอล. บรัดเลย์ รวบรวม. ศรีเทพ กุสุมา ณ อยุธยา และศรีลักษณ์ สง่าเมือง แปล. สยามแต่ปางก่อน 35 ปีในบางกอกของหมอบรัดเลย์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มติชน, 2567.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2568