รัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุขทั้งหลาย

การพนัน ภาษีบาป เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุข
ภาพบรรยากาศเล่นการพนันสมัยรัชกาลที่ 4 จัดฉากถ่ายภาพโดยชาวต่างชาติ

เหตุใดรัชกาลที่ 4 ทรงเหน็บแนม เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุขทั้งหลาย?

นานมาแล้วที่ชาวจีนและเชื้อสาย ซึ่งก็คือพลเมืองไทยโดยสมบูรณ์แบบในทุกวันนี้ มีส่วนในการพัฒนาและดูแลรักษาบ้านเมืองเสมอด้วยพลเมืองไทยและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทั้งไทยรามัญ ไทยมุสลิม ไทยลาว ฯลฯ ที่ล้วนอยู่กระจายกันไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย

สะพานหัน สำเพ็ง เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุข
ย่านชุมชนการค้าของชาวจีนบริเวณสะพานหัน-สำเพ็ง เมื่อ ค.ศ. 1948 หรือ พ.ศ. 2491 (ภาพจาก UWMLibraries)

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาวจีนมีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดัน สร้างความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจให้สังคมไทยมาช้านานมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แม้จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งในเครื่องมือสร้างพลังทางเศรษฐกิจของชาวจีนก็คือบ่อนอบายมุขทั้งหลาย

วันนี้เราลองย้อนรอยประวัติศาสตร์วัฒนธรรม (เชิงไม่สร้างสรรค์?) ที่ชาวจีนนำเข้ามาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ (อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีแหล่งอบายมุขของคนจีนในสมัยอยุธยาแล้ว)

ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) เศรษฐกิจไทยยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ราชการไทยได้อาศัยรายได้จากเงินบ่อนเบี้ยที่เจ้าสัวนายทุนจีนประมูลเดือนละไม่น้อย

รายได้เหล่านี้ ทรงนำมาใช้สอยในการพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งเป็นความจำเป็นในยุคสมัยนั้น ปรากฏใน “จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒” ดังนี้

“บ่อนเบี้ยต้นเดือนหก ๑๐ วัน ได้ ๒๕ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ๑ บาท
เอาไปจ่ายในนี้… หมากพลู อังคาส ฉันเช้า-เพล วันละ ๒๘ ซอง
.. เลี้ยงช่างทำเบญจาวันละ ๑๗๖ คน…”
(กรมศิลปากร, 2538: 52)

สำเพ็ง แหล่งเที่ยวกลางคืน โรงโสเภณี โรงบ่อน โรงสูบฝิ่น เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุข
สำเพ็ง เมื่อ พ.ศ. 2452 เป็นย่านการค้า และแหล่งเที่ยวกลางคืน มีแหล่งรื่นรมณ์เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งโรงโสเภณี โรงบ่อน และโรงสูบฝิ่น

ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ด้วยเหตุที่ทรงเคยคุ้น รู้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านร้านตลาดรวมทั้งโรงอบายมุข (แบบไม่จัดฉาก) ตั้งแต่ครั้งยังทรงผนวชในสถานะ “วชิรญาณภิกขุ” ทำให้ทรงเปรียบเทียบเหน็บแนมว่า เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์ของนักอบายมุขทั้งหลาย ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เมื่อ พ.ศ. 2406 ว่า

“เมืองไทยของเราก็เป็นสวรรค์อยู่แล้ว เพราะมีน้ำทิพย์คือ
เหล้ากิน เพราะมีอาหารทิพย์คือฝิ่นสูบ สบายดี และมีต้น-
กัลปพฤกษ์ คือบ่อนโป”
(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ, 2506: 69)

สรุปว่า แม้ในแผ่นดินสมเด็จพระชนกนาถ (รัชกาลที่ 2) ราชสำนักต้องอาศัยเงินบาปเหล่านี้ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธี แต่พระองค์ก็ไม่เห็นด้วย

มาถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อได้อ่านพระราชวิจารณ์ที่ทรงปรารภด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปรากฏใน “ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ยและเลิกหวย” (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๗) ก็จะเห็นความห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ที่จะพลอย “หลงเล่น…ทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งอันหาประโยชน์มิได้”

“การเล่นถั่วโปนั้น เป็นวิชาพนันของจีน พวกจีนพากัน
เข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพ ทำมาหากินอยู่ในกรุงสยาม
ได้ความผาสุก หากินอยู่ตามภูมิลำเนา แล้วพากันก่อการเล่น
โปถั่ว ซึ่งเป็นวิชาถนัดของตนขึ้น ชักชวนคนไทยให้หลงเล่น
ไปด้วย ทำให้เป็นการเสียทรัพย์ เสียเวลา เสียประโยชน์การค้าขาย
และทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งในอันหาประโยชน์มิได้”

ทำให้สันดานหมกมุ่นไปในสิ่งในอันหาประโยชน์มิได้ ขีดเส้นใต้ตรงนี้

กาลเวลาผ่าน พลวัตทางสังคมทำให้เวลานี้ประเทศไทยกำลังจะมี “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ประกอบด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรม 5 ดาว รวมทั้ง “กาสิโน”

ชาวบ้านนี้เมืองนี้ มีความคิดเห็นอย่างไร?

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2568