สมเด็จฯ พระบรมราชเทวี กับการสูญเสียพระราชโอรส-ธิดา 4 พระองค์

สมเด็จฯ พระบรมราชเทวี
สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในรัชกาลที่ 5 พระอิสริยยศท้ายสุดคือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ภาพจาก : หนังสือ จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนัก)

สมเด็จฯ พระบรมราชเทวี กับการสูญเสียพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ทรงเป็นพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรส และพระราชธิดา จำนวนทั้งสิ้น 8 พระองค์

แม้จะทรงอภิบาลพระราชโอรส และพระราชธิดาเป็นอย่างดีที่สุด แต่โรคภัยไข้เจ็บในยุคสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก ก็นำมาซึ่งการสูญเสียพระราชโอรส และพระราชธิดา 

พระราชโอรสพระองค์แรกที่สิ้นพระชนม์คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2422 และอีกไม่กี่ปีถัดมา พระราชธิดาคือสมเด็จฯ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2424 นำความเศร้าโศกมาสู่พระราชบิดา และพระราชมารดาเป็นอย่างมาก

จนเวลาล่วงไปนานนับ 10 ปี สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาก็ต้องทรงประสบเคราะห์ใหญ่จากการสูญเสียพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน กล่าวคือ

สมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิง พระราชธิดาที่ยังไม่ทรงมีพระนาม ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 

ปีถัดมา สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ก็เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437 (ปฏิทินปัจจุบันคือ พ.ศ. 2438) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา นำมาซึ่งความโศกเศร้าพระราชหฤทัยแก่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาเป็นอย่างมาก 

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารมหาดเล็ก ทรงสายสะพายมหาวราภรณ์ (มหาวชิรมงกุฎ) คาดสายรัดพระองค์ และสายสะพายสายคันชีพทับสายสะพาย (ภาพจาก : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

การสูญเสียพระราชโอรสพระองค์ใหญ่นี้สร้างความสะเทือนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาทรงอยู่ในพระอาการเสียพระราชหฤทัยมากเป็นเวลาหลายเดือน จนรัชกาลที่ 5 ทรงพระปริวิตกว่าจะทรงพระประชวร และจะสวรรคตตามไปอีกพระองค์หนึ่ง

ต่อมาไม่นานก็เกิดเหตุทุกข์พระราชหฤทัยขึ้นอีกครั้ง เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ สิ้นพระชนม์กะทันหันด้วยพระโรคนิวมอเนีย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2441 ขณะพระชันษา 9 ปี โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณทรงเป็นที่รัก และเมตตาต่อพระราชบิดา พระราชมารดา พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการทั้งปวง ต่างเห็นว่าทรงเป็นที่น่ารักน่าเอ็นดู การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณจึงนำความเศร้าโศกเสียใจแก่ทุกคนเป็นอันมาก

สมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี (ภาพจาก : หนังสือ จุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ พระบรมราชวงศ์แห่งประเทศไทย)

ในอีก 1 ปีถัดมา สมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย ก็สิ้นพระชนม์อีกพระองค์หนึ่ง ด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2442 ขณะพระชันษา 17 ปี 

สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาต้องทรงเผชิญกับการสูญเสียพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้พระพลานามัยของพระองค์ทรุดโทรมมาก การสูญเสียสมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย ทำให้พระอาการของพระองค์ที่เริ่มจะดีขึ้นกลับทรุดลงอีก ถึงกับไม่สามารถทรงพระดำเนินได้

รัชกาลที่ 5 ทอดพระเนตรสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาทรงกันแสงเสมอยามทรงเห็นสถานที่ซึ่งพระราชโอรส และพระราชธิดาเคยประทับ ดังนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรงให้สร้างพระตำหนักที่ศรีราชา เพื่อใช้เป็นที่ประทับรักษาพระวรกายของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา

พระตำหนักหลังนี้สร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2442 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาเสด็จพระราชดำเนินประทับในปีเดียวกันนั้น โดยประทับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี มีเสด็จพระราชดำเนินกลับพระนครเป็นบางครั้ง

สมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ (ภาพจาก : www.finearts.go.th)

อย่างไรก็ตาม ในการพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และพระราชพิธีพระศพ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนามิได้ทรงเข้าร่วมทุกพระราชพิธี โดยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นเจ้าภาพแทนตลอดทุกพระราชพิธี ดังที่หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงบันทึกว่า

“…พระเมรุคราวที่ 2 พระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร วันที่ 21 มกราคม ร.ศ. 119 ข้าพเจ้าได้ไปและจำได้ว่า ขบวนแห่เริ่มเดินตั้งแต่ 7 นาฬิกา ข้าพเจ้าต้องตื่นนอนตั้งแต่ก่อน 6 นาฬิกา แต่งตัวสีขาวไปนั่งอยู่หน้าพลับพลาก่อนโมงเช้า 

พระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศ ทหารประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ทรงพระราชยานมาเทียบหน้าเกยขึ้นพลับพลา พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ขาดแต่สมเด็จพระพันวัสสาเพราะได้เสด็จไปประทับที่ศรีราชาเมื่อ ร.ศ. 118 เพราะทรงได้รับความวิปโยคอย่างใหญ่หลวง นับตั้งแต่สมเด็จพระบรมโอรสสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 2437 พระชนมายุเพียง 16 พรรษา และต่อมาอีก 4 ปีคือในปี พ.ศ. 2441 พระราชโอรสและพระราชธิดาก็สิ้นพระชนม์ลงอีกถึง 2 พระองค์ ในเวลาใกล้ ๆ กัน 

เหตุนี้จึงต้องเสด็จไปประทับที่ศรีราชา ทรงพักรักษาพระองค์เนื่องจากทรงประชวรอยู่ราว 4 ปี จึงได้เสด็จกลับ ส่วนการพระเมรุนั้น สมเด็จพระพันปีหลวงจึงต้องทรงเป็นเจ้าภาพแทน ตลอดทุกพระเมรุ…”

การสูญเสียพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือตั้งแต่ พ.ศ. 2436-2442 จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาต้องเสด็จพระราชดำเนินประทับพระตำหนักที่ศรีราชาเพื่อรักษาพระวรกาย 

อย่างไรก็ตาม พระราชโอรส และพระราชธิดา อีก 2 พระองค์ที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช ก็ทรงคอยดูแลสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาเมื่อทรงมีพระชนมายุมากขึ้น แต่พระราชโอรส และพระราชธิดา ทั้ง 2 พระองค์นั้น ก็สิ้นพระชนม์ก่อนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา กล่าวคือ

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2472 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2482 ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2498 

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เสด็จเปิดตึกปฏินันท์ ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พ.ศ. 2472 (ภาพจาก : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

นนทพร อยู่มั่งมี, “สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้ากับความทุกข์ในพระราชหฤทัย” ใน, ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 44 : ฉบับที่ 5


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 มกราคม 2568