“วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” กับที่มาของชื่อวัดแห่งรัตนโกสินทร์และ 5 เจ้านายในชื่อ

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
วัดเบญจมบพิตรขณะกำลังปฏิสังขรณ์ (ภาพจาก : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

“วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” หรือคนมักเรียกว่าวัดเบญจมบพิตรฯ เป็นวัดที่มีความสำคัญมากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา และเป็นหนึ่งในวัดประจำรัชกาลที่ 5 

วัดเบญจมบพิตรฯ เต็มไปด้วยความสวยงามและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย รวมถึงชื่อวัดเองก็บอกเล่าความเป็นมาของวัดแห่งนี้ได้เช่นกัน

วัดเบญจมบพิตรฯ (ภาพจาก : fb วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม : Marble Temple )

วัดนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่เริ่มมีบทบาทตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมชื่อว่า “วัดแหลม” หรือ “วัดไทรทอง”

สมัยรัชกาลที่ 3 เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ศึกเจ้าอนุวงศ์” โดยเจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองนครเวียงจันทน์ต้องการปลดแอกตนเองจากการปกครองของสยาม 

รูปปั้นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพฝ่ายไทยคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ ขนาดเท่าคนจริง หล่อด้วยโลหะ ณ วัดจักรวรรดิราชาวาส สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๑

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้สยามต้องรับมือกับความขัดแย้งตรงหน้า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมองว่าต้องปกป้องพระนครให้ได้ก่อน จึงโปรดฯ ให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รับหน้าที่เป็นแม่ทัพป้องกันพระนคร 

รวมถึงโปรดเกล้าฯ ให้ระดมกองกำลัง กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพเดินทางตรงไปนครเวียงจันทน์ ส่วนอีกทัพให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ยกทัพเข้าตีกองทัพเจ้าอนุวงศ์ และติดตามไปถึงจำปาศักดิ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ทรงตั้งค่ายแนวแรกที่ชายทุ่งสามเสนจวบจนย่านหัวลำโพง โค้งออกทุ่งบางกะปิ จรดแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวที่ 2 บริเวณแนวกำแพงพระนคร เฉพาะบริเวณทุ่งสามเสน

ส่วนกองทัพบัญชาการตั้งอยู่ในบริเวณวัดแหลมหรือวัดไทรทอง

ทว่ากองทัพเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้เสียก่อนจะเข้ามาถึงพระนคร และเจ้าอนุวงศ์ก็ถูกส่งตัวมาที่กรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา

เมื่อจบเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ จึงทรงปฏิสังขรณ์วัดแหลมนี้กับ 4 พระน้องร่วมพระมารดาเดียวกัน ได้แก่…

กรมพระพิทักษ์เทเวศร

กรมหลวงภูวเนตรนรินฤทธิ์

พระองค์เจ้าหญิงอินทนิล

พระองค์เจ้าหญิงวงศ์

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามวัดใหม่ให้ว่า “วัดเบญจบพิตร” ซึ่งหมายถึงวัดของเจ้านาย 5 พระองค์

เป็นที่มาของคำว่า “เบญจ-” ที่แปลว่า 5 ในชื่อวัดนี้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม วัดแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ยังคงเป็นวัดเล็ก ๆ ที่ได้รับการบูรณะบางส่วนเท่านั้น

กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นว่าพระบรมมหาราชวัง เมื่อเข้าฤดูร้อนมักอบอ้าว ทำให้พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ประชวรอยู่เสมอ จึงมีพระราชประสงค์ให้สร้างพระราชอุทยานขึ้นบริเวณคลองสามเสนและคลองผดุงกรุงเกษม คือ “วังสวนดุสิต” (ต่อมาคือพระราชวังสวนดุสิต) เนื่องจากอากาศดี

ขณะเดียวกันในพื้นที่ที่จะสร้างวังสวนดุสิต มีวัดอยู่ 2 แห่งอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่ วัดดุสิตและวัดร้าง ด้วยประเพณีที่ว่าวัดใดที่ประกาศเป็นวิสุงคามสีมา (เขตพื้นที่ที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่สงฆ์เพื่อกระทำสังฆกรรมได้ตามพระธรรมวินัย) แล้ว จะไม่สามารถยึดได้ แม้จะเป็นวัดร้าง หากจำเป็นต้องใช้พื้นที่ต้องทำการทดแทน 

พระพุทธชินราช (จำลอง) ที่ วัดเบญจมบพิตรฯ (ภาพจาก : fb วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม : Marble Temple )

รัชกาลที่ 5 จึงทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้นแทน เพื่อเป็นการทดแทน 2 วัดดังกล่าว

เมื่อสถาปนาแล้ว วัดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดเบญจมบพิตร” แทนชื่อเดิมว่า “วัดเบญจบพิตร” หมายถึงวัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 ทั้งยังมีสร้อยนามต่อท้ายว่า “ดุสิตวนาราม” เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชวังสวนดุสิตอีกด้วย

เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ก็บรรจุไว้ภายใต้รัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ตามพระราชประสงค์

ทั้งหมดนี้คือที่มาของชื่อ “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มกราคม 2567