บรรพชาอุปสมบท ทางเลือกที่ช่วยเจ้านายหลายพระองค์ “รอด”

บรรพชาอุปสมบท
ภาพประกอบ- ภายในพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท สมัยรัชกาลที่ 4 พระสงฆ์, เจ้านาย และข้าราชบริพารทั้งหมดยังนั่งกับพื้น

“บรรพชาอุปสมบท” เป็นคำสองคำ ที่มีความหมายเดียวกันคือการ “บวช” ในศาสนาพุทธ ต่างกันเพียง “บรรพชา” บวชเป็นสามเณร, “อุปสมบท” บวชเป็นภิกษุ เมื่อใช้กับเจ้านายก็เป็นราชาศัพท์ว่า “ผนวช” ซึ่งนี่เป็นทางเลือกที่ละมุนละม่อม ได้ผลดียิ่ง และช่วยให้เจ้านายหลายพระองค์ “รอด”

ร่มกาสาวพัสตร์

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ไทย หลายครั้งที่มีการเปลี่ยน “รัชกาล” เจ้านายที่มีรายพระนามอยู่ในผู้ที่มีโอกาสขึ้นครองราชย์ลำดับต้น หรือมีราชภัยอื่นๆ ทำให้เจ้านายพระองค์นั้นมีอันเป็นไปก่อนวัยอันควร

แต่ก็มีเจ้านายบางพระองค์ทรง “รอด” จากนาทีชีวิตนั้นได้อย่างฉิวเฉียด ด้วยการ “บรรพชาอุปสมบท” หรือบางพระองค์ที่ผนวชอยู่เดิม ก็ทรงยืดเวลาการลาสิกขาจากเพศบรรพชิตออกไป จนกว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทิศทางที่วางใจได้

ส่วนเจ้านายที่กำลังทรงมีอำนาจในบ้านเมืองมักจะเลือกไม่ใช้ความรุนแรง ด้วยทรง “เห็นแก่ผ้าเหลือง” แต่เป็นเปลี่ยนให้มีการเฝ้าจับตาดูเจ้านายที่ผนวชแทน

พระสงฆ์สยามในอดีต

กลยุทธ์ “ทรงผนวช” 

เจ้านายหลายพระองค์ที่ทรงเลือก “บรรพชาอุปสมบท” เพื่อความปลอดภัย และลดการปะทะในหมู่พระประยูรญาติ ทั้งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ได้แก่

พระเฑียรราชา พระราชอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ที่หลังจากสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต ขณะนั้นท้าวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาธิราชกุมอำนาจราชสำนัก ดังนั้น เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จ พระเฑียรราชาได้ผนวชหนีภัยการเมืองที่วัดราชประดิษฐานตลอดรัชสมัยสมเด็จพระยอดฟ้าและขุนวรวงศาธิราช ภายหลังพระองค์ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางราชสำนัก ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ทรงไม่ลาสิกขาออกมารับราชสมบัติ เพื่อหลบหนีจากภัยทางการเมือง ทั้งยังประโยชน์ให้พระองค์ได้รับพระเมตตา ด้วยเวลานั้น “เจ้าฟ้าพร” ผู้เป็นอา ทรงมีตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงมีทั้งอำนาจและบารมี จึงขึ้นครองราชย์เป็น “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ”

เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ หรือ “เจ้าฟ้ากุ้ง” พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงลอบทำร้ายเจ้าฟ้านเรนทร (ขณะผนวชเป็นภิกษุ) ถึงในพระราชวังหลวง ทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงพระพิโรธอย่างมาก พระราชมารดาของเจ้าฟ้ากุ้งจึงทรงรีบพาพระองค์หลบออกจากพระราชวัง แล้วให้ออกผนวชที่วัดโคกแสง เพื่อหลบหลีกพระราชอาญา

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ช่วงปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงตั้งพระราชหฤทัยมอบราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร จึงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมดและออกผนวช เพื่อลดการปะทะกันของสองพี่น้อง

บรรพชาอุปสมบท
ภาพ พระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์อยุธยา (เดิมเข้าใจคาดเคลื่อนว่าเป็นภาพสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ในสมุดพม่าชื่อ “นั้นเตวั้งรุปซุงประบุท” แปลว่า “เอกสารการบันทึกราชสำนัก พร้อมด้วยภาพเขียน” ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่ British Library กรุงลอนดอน

ครั้นต่อมา สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครองราชสมบัติแล้ว ก็ถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ แล้วผนวชเสด็จไปพำนัก ณ วัดประดู่ เพื่อทรงหลีกหนีความวุ่นวายทางการเมือง และใช้สถานะภิกษุเป็นที่พึ่งคุ้มกันจากภยันตราย

ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะผนวชเพียง 15 วัน พระราชบิดาเสด็จสวรรคต “กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจ้าฟ้ามงกุฎทรงตัดสินพระทัยดำรงสมณเพศต่อไป โดยเสด็จไปจำพรรษาที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร) ก่อนจะทรงขึ้นครองราชย์เป็น “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดยทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ไทยที่ผนวชเป็นภิกษุนานถึง 27 พรรษา

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ครั้ง ผนวช เป็น พระวชิรญาณเถระ ได้ ก่อตั้ง ธรรมยุติกนิกาย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณเถระเสด็จธุดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ ภาพเขียนโดย นายวุฒิชัย พรมมะลา

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

พระมหาทศพล จนฺทวํโส (มาบัณฑิตย์). “การบวชสมัยในอยุธยา” ใน, วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 5 (กรกฎาคม 2562)

สิทธิ์ บุตรอินทร์. “พระบาทสมเด็พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพด้านการศาสนา” ใน วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 30 ฉบับที่ 2 เม.ย.-มิ.ย. 2548.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 6 มกราคม 2567