หน้าที่ของ “เจ้าเมือง” สมัยอยุธยา มีอะไรบ้าง อำนาจมากน้อยแค่ไหน?

เจ้าเมืองในสมัยอยุธยา ขุนนางไทย โบราณ
ภาพประกอบบทความ - ขุนนางในสมัยโบราณ

เจ้าเมืองในสมัยอยุธยามีบทบาทหน้าที่มากน้อยแค่ไหน ต้องทำงานบ้านเมือง หรือประสานกับส่วนกลางคือราชสำนักกรุงศรีอยุธยาอย่างไรบ้าง?

กระบวนแห่พยุหยาตรา สมัยอยุธยาตอนปลาย จิตรกรสมัย ร.5 วาดจำลองจากวัดยม จ.พระนครศรีอยุธยา ลงในสมุดข่อย
กระบวนแห่พยุหยาตรา สมัยอยุธยาตอนปลาย จิตรกรสมัย ร.5 วาดจำลองจากวัดยม จ.พระนครศรีอยุธยา ลงในสมุดข่อย (ภาพจาก “การแต่งกายของไทย”, 2532)

จากหลักฐาน พระราชกำหนดเก่า จุลศักราช ๑๐๘๙ ว่าด้วย “ลักษณะการปกครองหัวเมือง” ซึ่งเป็นเอกสารสมัย สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ยุคปลายกรุงศรีอยุธยา ได้ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของเจ้าเมือง ผู้รักษาเมือง และผู้รั้งเมืองที่ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ไว้ดังนี้

1. เมื่อไปปกครองเมืองหรือราชการสงครามแล้ว เจ้าเมืองต้องไม่ออกจากเมืองหากไม่ได้รับอนุญาต หากจะติดต่อกับราชธานี ให้ส่งรายงานราชการมา ห้ามเดินทางมาก่อนได้รับอนุญาตหรือไม่มีหนังสือเรียกตัว หากเข้ามาต้องโทษถึงประหารชีวิต เป็นมาตรการป้องกันการก่อกบฏของเจ้าเมือง

2. มีอำนาจในการควบคุมแรงงานราษฎร ไพร่สม (ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้มูลนายและขุนนาง) หรือเกณฑ์ไพร่เมือง โดยจ่ายค่าเช่าโคและค่าแรงแก่ราษฎร แต่ห้ามเอาไพร่สมในสังกัดงานราชการของเมืองไว้เป็นกำลังของตนเอง

3. ทันทีที่ไปปกครองเมือง เจ้าเมืองจะต้องเรียนรู้ภูมิสัณฐานของบ้านเมือง ตรวจตราความเรียบร้อยทุกด้านว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ ดูแลขนอน (ด่านภาษี) ตรวจตราใบเบิกด่าน อย่าให้มีชาวต่างด้าวปลอมใบเบิกด่านเข้ามา

4. แต่งตั้งพ่อแก่พ่อร้าง โดยจัดคนผู้มีกำลังเป็น “กรมการ นายอำเพอ ร้อยแขวง นายบ้าน” ให้ครบตำแหน่ง เพื่อให้งานราชการเป็นไปโดยเรียบร้อย

5. ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้ากรมผู้สั่งราชการ คือ หากมีตราพระราชสีห์และตราโกษาธิบดีมาสั่งเรื่องราชการสงครามหรือพระราชกิจอย่างไร เจ้าเมืองต้องไม่เสียเวลาตอบสารกลับ ให้ทำตามคำสั่งนั้น เว้นแต่เกินกำลัง จึงทำหนังสือแจ้งกลับ

หากส่วนกลางมีคำสั่งมาให้ทอดราชการแก่พลเมือง (มีผลกับพลเมือง) ให้เจ้าเมือง ผู้รั้ง และยกกระบัตร (ต้นฉบับใช้ “ยุกระบัตร”) กะเกณฑ์ไพร่สมกำลังของกรมการมาทำราชการด้วยให้ครบถ้วน อย่าให้กรมการผู้ใดปกป้องกีดกันไพร่ในสังกัดของตนไว้

6. ตรวจตรา ควบคุมบัญชีและจำนวนไพร่หรือพลเมือง รวมถึงคอยระมัดระวังอย่าให้มีสมี (พระที่ถูกไล่สึกเพราะต้องอาบัติปาราชิก) กับบรรดาไพร่ที่บวชพระเพื่อหนีเจ้าหนีนายไปซุ่มซ่อนเป็นคนจรจัด จนอยู่นอกสารบัญชีหรือเป็นภัยต่อบ้านเมือง แล้วรายงานถึงลูกขุน

7. ต้องมีจริยธรรม ศีลธรรมอันดี ห้ามประพฤติผิดศีลธรรม เช่น ข่มเหง ฉุดคร่าลูกสาวชาวบ้านมาเป็นเมียและคนใช้ (เว้นแต่พ่อแม่ยินยอม) ทำนุบำรุงความสุข คอยดูแลราษฎรให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ถ้าละเลยเจ้าเมืองและกรมการต้องถูกลงโทษสถานหนัก หรือหากมีกรณีโจรผู้ร้ายมีกำลังมากจนควบคุมไม่ได้ ให้รายงานไปยังลูกขุน

อนึ่ง หากเจ้าเมืองละเมิดคำสั่งการเก็บภาษี “แลให้เรียกเอาส่วนสาอากอร… ขนอนทั้งปวงนอกขนบทำเนียมพิกัดอัตราเกินสูงกว่าบาญชีท่านตั้งไว้ คิดฉ้อขายเอาเงินราษฎรไพร่พลเมืองท่านเป็นอาณาประโยชน์แก่ตน… ถ้าพิจารณาเป็นสัจ ให้เรียกเอาเงินที่มันเรียกมานั้น แขวนฅอประจาน แล้วคืนให้ราษฎรจงถ้วนแล้วให้ลงโทษ ๖ สถาน”

อยุธยา
ภาพ “ยูเดีย” หรือกรุงศรีอยุธยา วาดโดยโยฮันเนส วิงโบนส์ (Johannes Vingboons) ต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์

นอกจากนี้ ราชสำนักอยุธยายังมีขุนนางตำแหน่ง “ยกกระบัตร” ที่ขึ้นต่อกรมวัง ถูกส่งไปกำกับราชการหัวเมือง เป็นเสมือนหูตาของพระเจ้าแผ่นดิน เน้นหน้าที่ด้านความมั่นคง โดยทำงานร่วมกันและคอยจับตาดูพฤติกรรมของเจ้าเมืองหรือกรมการเมืองต่าง ๆ ว่ามีความซื่อสัตย์ต่อราชสำนักหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

วินัย พงศ์ศรีเพียร. การปกครองหัวเมืองของไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย : ศึกษาจากพระราชกำหนดเก่า จุลศักราช ๑๐๘๙ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ. วารสารราชบัณฑิตยสภา, ปีที่ 30 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2548.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2567