ผู้เขียน | สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อร้อยกว่าปีก่อน โรคหลักๆ ที่ชาวสยามต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง คือ ฝีดาษและอหิวาตกโรค ซึ่งถ้านับเฉพาะรัชกาลที่ 4-5 มีข่าวลือว่า อหิวาต์ระบาดได้คร่าชีวิตชาวสยามรวมแล้วหลายหมื่นคน
อหิวาต์เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหารจากแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน เริ่มด้วยถ่ายอุจจาระเป็นน้ำโดยไม่มีอาการปวดท้อง บางรายอุจจาระขาวขุ่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย ร่างกายจะสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว อาจเสียชีวิตได้ในไม่กี่ชั่วโมง
“ระเบิดเวลา”
สมัยรัชกาลที่ 4 ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสยามมากขึ้น และบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นทั้งผู้คน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพบ้านเมือง อย่าง อองรี มูโอต์ นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า เป็นผู้ค้นพบนครวัด ได้บันทึกสภาพบ้านเมืองของชาวสยามไว้ว่า
“หากมองจากกลางน้ำ เห็นทั้งวัดและวังงามอร่ามเรียงราย แต่คำนี้เห็นจะใช้ไม่ได้เอาเสียเลยยามลัดผ่านตรอกซอกซอย ย่ำลงบนโคลน เลาะล่องไปตามคลองเล็กคลองน้อยเหม็นๆ แคบๆ นับร้อยนับพันสาย ตัดซอยผืนดินเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย อันเป็นที่ตั้งของกระท่อมซอมซ่อหน้าตาสกปรก ชวนบาดตาบาดใจเฉกเช่นกลิ่นที่บาดจมูก”
เราอาจบอกได้ว่า มูโอต์เล่าจากสายตาของ “ชาวตะวันตก” ที่เห็นว่าชาติอื่นด้อยกว่า แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ โคลนเลน กลิ่นเหม็น รวมทั้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ จากบ้านเรือน ที่ยังไม่มีระบบการบริหารจัดการตามหลักสุขาภิบาล
เหล่านี้คือตัวบ่มเพาะเชื้อโรคชั้นดี เป็นเสมือน “ระเบิดเวลา” ที่ต่อมาจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของชาวสยามหลายหมื่นคนอย่างไม่เลือกยากดีมีจน
อหิวาต์ระบาด สมัยรัชกาลที่ 4-5
แม้ยุคนั้นจะมีหลายโรคที่คร่าชีวิตชาวสยาม แต่ มัลคอล์ม สมิธ แพทย์ที่เข้ามาทำงานในราชสำนักสยาม ทำหน้าที่ดูแลพระพลานามัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้บันทึกข้อมูลจากการอ่านเอกสาร การฟังคำบอกเล่า และจากที่ได้พบเห็นว่า โรคที่ทำให้มีคนป่วยและเสียชีวิตมากสุดคือ โรคอหิวาต์
ในปีที่เลวร้ายที่สุด อหิวาต์จะเริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นจนชินตาจึงเป็นภาพขบวนแห่ศพเพื่อนำไปฝังหรือเผาที่วัด ช่วงไหนที่ระบาดหนัก วัดถึงขั้นเผาศพไม่ทัน ต้องวางศพเรียงซ้อนกันตามพื้นดินเหมือนท่อนไม้ และมีศพจำนวนไม่น้อยที่ลอยอยู่ในแม่น้ำลำคลอง
หมอสมิธ บันทึกว่า พ.ศ. 2363 หรือในสมัยรัชกาลที่ 2 สยามเผชิญโรคระบาดใหญ่ มีศพเป็นจำนวนมากที่ถูกวางกองไว้รวมกัน บนพื้นนองไปด้วยน้ำเหลืองจากซากศพ ผู้คนในเมืองล้มตายเป็นเบือ ส่วนใหญ่ที่ตายเป็นพวกนักโทษ ทาส และชาวบ้านทั่วไป ส่วนพวกกินดีอยู่ดีซึ่งตั้งบ้านเรือนบนที่สูง กับพวกที่อาศัยอยู่ตามเรือนแพตายน้อยมาก และจากบางกอก โรคระบาดก็แพร่ออกไปทั่วสยาม
“ในปี 2392 ภายในเดือนเดียวมีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศอยู่ประมาณ 15,000-20,000 คน ในปีนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎขณะทรงเป็นผู้นำฝ่ายสงฆ์โปรดให้วัดสำคัญสามวัดเป็นที่เผาศพ คือ วัดสระเกศ วัดบางลำภู และวัดตีนเลน จากบันทึกชิ้นหนึ่งว่า แต่ละวันศพถูกนำมาเผาที่วัดทั้งสามเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม รวม 38 วัน มีจำนวนถึง 5,457 ศพ ทั้งเมืองเป็นอัมพาต ธุรกิจทั่วไปหยุดชะงัก ประชาชนทำอะไรไม่ได้นอกจากไปเยี่ยมคนป่วยและเผาศพ
ปี 2411 เป็นปีที่เลวร้ายอีกปีหนึ่ง
จากบันทึกของทางการในปี 2416 มีคนในบางกอกตายด้วยโรคระบาดตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม จำนวน 6,660 คน
กล่าวกันว่าในปี 2423 ลือกันว่ามีคนตายทั่วประเทศถึง 30,000 คน นับเป็นตำนานแห่งการสูญเสียชีวิตครั้งร้ายแรงที่สุด แต่ในปีต่อๆ มาไม่มีความน่าสยดสยองแบบปี 2362 และปี 2392 เกิดขึ้นอีก”
การบริหารจัดการด้านสุขาภิบาลพัฒนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไปในการดำเนินการ เพราะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนทั้งประเทศ
เมื่อเริ่มจัดการได้แล้ว โรคต่างๆ รวมถึงอหิวาต์ระบาดก็ค่อยๆ ลดลง
อ่านเพิ่มเติม :
- เบื้องหลังของ “กองตระเวน” กับการใช้อำนาจในท้องถนนสมัยรัชกาลที่ 5
- “หมูเร่ร่อน” ในพระนคร ตัวการทำให้กลิ่นจากสิ่งปฏิกูลขจรขจายไปทั่วเมือง!!?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ภัทรนิษฐ์ สุรรังสรรค์. รัฐสยดสยอง. กรุงเทพฯ : มติชน, 2565
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 สิงหาคม 2567