
ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
ปฐมบรมราชานุสรณ์ หรือ “อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1” ที่ประดิษฐานอยู่ ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า สร้างเป็นที่ระลึกใน งานฉลองพระนครครบ 150 ปี ซึ่ง รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2475 ก่อนเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน
พระบรมราชานุสาวรีย์นี้จึงถือเป็น “อนุสาวรีย์สุดท้าย” ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
คราวนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีโครงการสำคัญหลายอย่าง เช่น การบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซ่อมแซมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท การสร้างศาลาเฉลิมกรุง เป็นส่วนหนึ่งของการฉลองพระนครด้วย
“ปฐมบรมราชานุสรณ์” กับ งานฉลองพระนครครบ 150 ปี ยังสัมพันธ์กับเหตุการณ์ 24 มิถุนาฯ อย่างมีนัยสำคัญ แต่คนจำนวนมากไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกัน

ศ. ดร. ชาตรี ประกิตนนทการ แห่งภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายประเด็นข้างต้นไว้ในหนังสือ ศิลปะ-สถาปัตยกรรมคณะราษฎร (มติชน : 2552) ว่าโครงการฉลองพระนครครบ 150 ปี คือโครงการสำคัญของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสะท้อนความคิดทางการเมืองของพระเจ้าแผ่นดินและกลุ่มเจ้านายชั้นผู้ใหญ่
โครงการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางความคิด ระหว่างการรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับกระแสเรียกร้องระบอบประชาธิปไตย ที่กำลังท้าทายชนชั้นนำสยามในขณะนั้น
แนวทางของรัชกาลที่ 7 คือการประคับประคองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เอาไว้ ดังจะเห็นแนวพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ (สำหรับ ‘ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ไม่ใช่ ‘ประชาธิปไตย’) เพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของฝ่ายต่าง ๆ ร่องรอยทางความคิดของพระองค์ยังปรากฏผ่านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เนื่องในงานฉลองพระนคร รวมถึงปฐมบรมราชานุสรณ์ ที่มีพระราชดำริให้สร้างขึ้น
เดิมที สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อภิรัฐมนตรีและนายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม ทรงมีพระดำริว่า ควรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เป็นพระบรมรูปประทับยืนสูง 6 เมตร ที่มุขเด็จหน้าพระวิหารวัดสุทัศน์ฯ โดยให้วัดเป็นฉากหลัง
ต่อมา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ทรงมีพระดำริว่า ควรสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมสองฝั่งพระนคร สร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและให้ราษฎรระลึกเหตุการณ์ย้ายเมืองจากฝั่งธนบุรีมาฝั่งพระนครสมัยรัชกาลที่ 1 ไปในตัว
ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการฯ ในที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2471 เห็นด้วยกับข้อเสนอของ พระยาจินดาภิรมย์ ราชบดีสภา เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ที่เสนอให้สร้างพระบรมรูปประกอบกับอาคารศาลหลังใหม่ บริเวณข้างสนามหลวง แต่รัชกาลที่ 7 ทรงตัดสินพระทัยว่า ให้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา คือ “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” และสร้างพระบรมรูปใกล้ ๆ ตัวสะพาน
อ. ชาตรี อธิบายว่า “เป็นการตัดสินพระทัยในแนวทางที่ขัดแย้งและฝืนความคิดของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ ซึ่งเกิดขึ้นน้อยครั้งมากในการบริหารราชการแผ่นดินตลอดรัชสมัย”
เรื่องนี้วิเคราะห์ได้ว่า รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าสะพานข้ามแม่น้ำจะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองในทางเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอ่อนไหวต่อความเชื่อความศรัทธาในตัวพระองค์และระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การสร้างสะพานกับพระบรมราชานุสาวรีย์คู่กันจึงส่งเสริมภาพลักษณ์ว่า พระองค์ทรงนึกถึงบ้านเมือง มิใช่สักแต่จะสร้างอนุสรณ์ยกย่องบรรพบุรุษ
เป็นที่มาของสะพานพระพุทธยอดฟ้าและปฐมบรมราชานุสรณ์ หรือพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ที่แต่เดิมจะสร้างให้ประทับยืน ก่อนเปลี่ยนเป็นประทับนั่งและทรงเครื่องอย่างกษัตริย์เต็มยศแทน โดยการออกแบบของสมเด็จฯ กรมพระยานริศฯ และนายคอร์ราโด เฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) เป็นช่างปั้น

(ภาพจาก เฟซบุ๊ก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
ส่วนประเด็นว่าทำไมทรงเลือกรัชกาลที่ 1 เป็นสัญลักษณ์ ทำไมออกแบบให้ทรงเครื่องกษัตริย์เต็มยศ และอยู่ในอิริยาบถประทับนั่งนั้น อ. ชาตรี วิเคราะห์ว่า เพราะทรงพยายามนำเสนอบทบาทกษัตริย์ในระบอบราชาธิราชที่พระราชอำนาจจำกัด แต่พระบารมีแผ่ไพศาล ต่างจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่ 5 ที่รวมศูนย์อำนาจจนกษัตริย์มีบทบาทไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี
ภาพลักษณ์ข้างต้นถูกนำเสนอผ่านพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ภาพแทนกษัตริย์นักรบผู้ขับไล่ข้าศึกศัตรู จรรโลงพระศาสนา และสร้างบ้านแปงเมือง จุดเริ่มต้นแห่งความเจริญของราชอาณาจักร และการที่สร้างให้มีขนาดใหญ่โตกว่าสัดส่วนปกติของมนุษย์ถึง 3 เท่า ภายใต้ฉลองพระองค์แบบพระมหากษัตริย์อย่างจารีตประเพณีนั้น ก็เพื่อให้เกิดความน่าเกรงขามแม้พระองค์จะทรงประทับนั่งเฉย ๆ
ความหมายคือ กษัตริย์ไม่จำเป็นต้องทรง “ทำ” อะไร เพียงประทับนั่งก็ “ค้ำ” รัฐให้ดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุข
อ. ชาตรี เล่าว่า มีหลักฐานน่าเชื่อถือระบุถึงพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 7 ว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ (ฉบับสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2475 ก่อนพิธีเปิด “ปฐมบรมราชานุสรณ์” และ สะพานพระพุทธยอดฟ้า แต่ถูกเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ทัดทานไว้
หากพระองค์ผลักดันเรื่องนี้สำเร็จ คือมีการพระราชทานรัฐธรรมนูญในงานฉลองพระนครครบ 150 ปีจริง ๆ เรื่องดังกล่าวอาจเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สุดตลอดพระชนมชีพของพระองค์ เพราะจะทำให้งานฉลองพระนครสมบูรณ์อย่างยิ่งในเชิงสัญลักษณ์ สามารถสร้างภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้ “วิวัฒน์” ไปอีกขั้นดังพระราชประสงค์
แต่สิ่งเหล่านั้นมิได้เกิดขึ้น การปฏิรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดำเนินไปอย่างขาด ๆ เกิน ๆ ซึ่ง อ. ชาตรี นิยามว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” เพราะทรงถูกรายล้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม
ผลที่ตามมาคือ การยึดอำนาจโดยคณะราษฎร หลังงานฉลองพระนครผ่านไปเพียง 3 เดือน…
อ่านเพิ่มเติม :
- “อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี” อนุสาวรีย์ “สามัญชน” ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งแรกของไทย
- “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” เกือบถูก “รื้อ” เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ให้ “รัชกาลที่ 7”
- อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ “แรงบันดาลใจจากพระปรางค์วัดอรุณฯ”? ที่ระลึกถึงวีรชนผู้กล้าหาญ
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 มิถุนายน 2567