เบื้องหลัง “กบฏ” พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ คือ ข้าผู้หญิง และ “หลังบ้าน” ขุนนางผู้ร่วมก่อการ

ผู้หญิง พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ กบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์
ผู้หญิงหนึ่งในกำลังสำคัญ “กบฏ” พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ (ภาพประกอบของ กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม)

เบื้องหลังกบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ คือ ข้าผู้หญิง และ “หลังบ้าน” ขุนนางผู้ร่วมก่อการ

เมื่อพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ทรงก่อการ “กบฏ” เพื่อชิงแผ่นดินจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้เป็นพระเชษฐา ในครั้งนั้นฟันเฟืองสำคัญหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงก็คือ “ผู้หญิง” เพราะขณะนั้นผู้หญิงไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองเท่าใด

ผู้หญิงที่มีบทบาทในการก่อกบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ หนึ่ง คือ “อำแดงแก่น” เป็นข้าของพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ หนึ่งคือ บรรดาหลังบ้านของขุนนางผู้ร่วมก่อการ

สมเด็จพระนารายณ์ พร้อมด้วย พระราชเทวี ประทับ ช้างทรง
สมเด็จพระนารายณ์พร้อมด้วยพระราชเทวี ประทับบนหลังช้างทรง วาดโดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส (ภาพจาก “สยามในโลกสากล” โดย ไกรฤกษ์ นานา)

สำหรับ อำแดงแก่น นางคือผู้เติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง ระหว่างพระนารายณ์ กับพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ ดังความใน “พระราชพงศาวดาร ฉะบับพระราชหัตถเลขา” ตอนหนึ่งว่า

“…เดือนยี่นั้น อำแดงแก่น ผู้เป็นข้าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์เอาเนื้อความอันเป็นกลโกหกมาอุบายทูลพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ว่า ข้าหลวงฝ่ายพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวย่อมว่า พระไตรภูวนาทิตยวงศ์และข้าไททั้งปวงนั้นเข้าด้วยสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราชช่วยรบพุ่ง 

ครั้นสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราชปราชัยแด่พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าแล้ว พระไตรภูวนาทิตยวงศ์และข้าไททั้งปวงก็มาบรรจบเข้าด้วย…

อำแดงแก่นทูลยุยงพระไตรภูวนาทิตยวงศ์นั้นเป็นหลายครั้ง พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ก็มิได้พิจารณา ฟังแต่คนเท็จนั้น พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ก็คิดซ่องสุมคนไว้นอกกรุงเทพมหานครเป็นอันมาก…

ครั้นข้าหลวงออกไปได้เนื้อความนั้นเป็นหลายแห่ง ว่าพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ให้ซ่องสุมคนเป็นมั่นแม่น…ก็แสร้งอุบายเข้าด้วยจึงให้สัญญาอาณัติวันคืนแก่กันว่าจะยกเข้ามา และข้าหลวงนั้นก็กลับคืนเข้ามากราบทูลพระกรุณาตามเนื้อความนั้น…” (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยผู้เขียน)

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระมหากษัตริยาธิราชแห่งกรุงสยาม (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) โดย De L’Armessin ปี ค.ศ. 1688 (พ.ศ. 2231)

ไม่เพียงแต่อำแดงแก่น พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ยังใช้ช่องว่างของกฎหมาย แทนที่จะเรียกประชุมเหล่าขุนนางก็เรียก “ภรรยาขุนนาง” ไปพบแทน ดังความในพระราชพงศาวดาร ฉะบับพระราชหัตถเลขา ความว่า

“อนึ่งมีคำอีแก่น และนายบุญเกิดให้การว่า พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ใช้อีแก่นและนายบุญเกิดเอาน้ำสบถไปให้แก่พระยามหามณเฑียร พระยาสุโขทัยกินถึงจวน

อนึ่งมีคำอีแก่นให้การว่า ผู้ลงไป ณ วังหลังนั้นคือ ภรรยาพระยากลาโหม นางน้อยลูกพระยากลาโหม ภรรยาหลวงราชบุตร ภรรยาพระยากลาโหมผู้มรณภาพ ไปกับนางเมืองเขียด ท้าววาชอุทัยภรรยาพระยาพิชัยรณฤทธิ์ และลูกสะใภ้แม่นมสุด แม่พระศรีภูริปรีชา และหลานแม่ศรีอุทัย แม่พระศรีศักดิ์ภรรยาพระยาพัทลุง ภรรยาพระยาสุโขทัย ภรรยาพระคลัง แม่ภรรยาพระยาพระคลัง…” (จัดย่อหน้าใหม่โดยผู้เขียน)

รายชื่อข้างต้นนั้น คือ ภรรยาของขุนนางผู้ก่อการ ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลที่ใช้ในสมัยอยุธยานั้นได้กำหนดไว้เฉพาะ ขุนนาง ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ที่ไม่สามารถไปพบกันในที่ลับได้ ดังความในกฎหมายตราสามดวงตอนหนึ่งว่า

“อนึ่งลูกขุนนา 10000 ถึงนา 800 แลไปคบไปหาพระราชบุตรพระราชนัดดา โทษถึงตาย…” หรือ “หนึ่งหัวเมืองหนึ่งกัน เจ้าเมืองหนึ่งกัน ไปหาเมืองหนึ่ง โทษถึงตาย” 

หากมิได้กำหนดให้ ห้ามภรรยาของขุนนางไปพบไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ภรรยาของขุนนางเหล่านี้จึงทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังการติดต่อสื่อถึงขุนนางเหล่านั้น

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงในสมัยอยุธยาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งในฐานะที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเหตุการณ์ แม้ผู้หญิงสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีบทบาทดังเช่นกรณีข้างต้นก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 2 ตอน 1. โรงพิพม์อักษรนิติ 2495.

ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. “บทบาทและสถานภาพของผู้หญิงกับการเมืองในประวัติศาสตร์สังคมไทย” ใน, ศิลปวัฒนธรรม พฤษภาคม 2545.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 กุมภพันธ์ 2567