ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำในมหากาพย์ “มหาภารตะ” แอตแลนติสแห่งอินเดีย

ทวารกา เมือง พระกฤษณะ ใน มหาภารตะ ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำ
ภาพเขียน กรุงทวารกา นครของพระกฤษณะ ในมหาภารตะ ศิลปะแบบโมกุล, ผลงานของ Kesu Kalan ปี 1585 (ภาพจาก National Museum of Asian)

ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำในมหากาพย์ “มหาภารตะ” แอตแลนติสแห่งอินเดีย ที่ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม 

ทวารกา (Dvaraka, Dwaraka, Dwarka) เป็นเมืองชายฝั่งของรัฐคุชราต ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำคอมตี (Gomti River) บริเวณปากอ่าวคุตช์ (Gulf of Kutch) ติดกับทะเลอาหรับ ในเขตเทวภูมิทวารกา (Devbhumi Dwarka District) และเป็น 1 ใน 7 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู ที่มีผู้จาริกแสวงบุญมาสักการะ พระกฤษณะ หรือ พระวิษณุ ประจำทุกปี

ภาพเขียน กรุงทวารกา นครของพระกฤษณะ ในมหาภารตะ ศิลปะแบบโมกุล, ผลงานของ Kesu Kalan ปี 1585 (ภาพจาก National Museum of Asian)

ผลพวงของคำสาป

ตามเนื้อหาในหนังสือหริวงศ์ หลังจากสังหารราชากังสะผู้เป็นลุง และเพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบกับราชาชราสัณธ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของราชากังสะ พระกฤษณะ ได้ตัดสินใจอพยพเชื้อพระวงศ์วฤษณีและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจากเมืองมถุรามาสร้างมหานครอันยิ่งใหญ่ริมทะเล บนดินแดน “ทวารวดี” (Dvaravati) หรือ ทวารกา ในท้ายเรื่องมหาภารตะ มหานครแห่งนี้ต้องมาจมอยู่ใต้บาดาล ภายหลังการตายของพระกฤษณะตามคำสาปของพระนางคานธารี

36 ปีหลังมหาสงครามล้างวงศ์เครือญาติที่ทุ่งกุรุเกษตร ทวารกา กลายเป็นอาณาจักรที่นอนนิ่งสงบใต้ทะเล ดุจเดียวกับที่พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ในวงขนดพญาอนันตนาคราชนานนับหลายพันปี

กระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1930 หน่วยโบราณคดีทางทะเล (The Marine Archaeological Unit-MAU) ของสำนักงานการสำรวจทางโบราณคดีอินเดีย (the Archaeological Survey of India-ASI) กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย เอส. อาร์. เรา (S.R. Rao) หนึ่งในนักโบราณคดีคนสำคัญของอินเดีย ได้เริ่มการสำรวจโบราณสถานใต้ทะเลรอบ ๆ บริเวณเมืองโลธาล (Lothal) รัฐคุชราต ซึ่งเป็นศูนย์กลางท่าเรือของอารยธรรมฮารัปปา ที่มีอายุอยู่ในช่วง 1570 ปีก่อนคริสตกาล จนขุดพบสิ่งประดิษฐ์โบราณกับเครื่องปั้นดินเผาที่เกิดขึ้นก่อนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในบริเวณนี้มากมาย

นอกจากนี้ ในปี 1930 เอส. เอส. เรา ยังเคยนำทีมสำรวจบริเวณรอบ ๆ เกาะ “Bet Dwarka” (หรือ Beyt Dwarka) ในทะเลอาหรับ ซึ่งตั้งอยู่ปากอ่าวคุตช์ ห่างจากชายฝั่งทวารกาออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร แต่หยุดชะงักไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกด้วย

วิหาร พระกฤษณะ ทวารกา
วิหารพระกฤษณะ ในพื้นที่เมืองทวารกาสมัยใหม่ (ภาพโดย Emmanuel DYAN จาก flickr สิทธิ์การใช้งาน CC BY 2.0)

ปลุก “ทวารกา” นครที่หลับใหล

การค้นพบโบราณวัตถุใต้ทะเลที่เมืองโลธาล จุดประกายให้ทีมสำรวจโบราณคดีตัดสินใจออกตามหานครทวารกาในตำนานอันยิ่งใหญ่นี้

การสำรวจครั้งแรกในปี 1963 ที่สถาบันทางด้านโบราณคดี เดคแคน คอลเลจ ของเมืองปูเน่ ร่วมกับหน่วยงานโบราณคดีของรัฐคุชราต ได้เผยให้เห็นสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีอายุหลายศตวรรษ ต่อมาในปี 1979 หน่วยงาน MAU นำโดย เอส. อาร์. เรา ซึ่งเคยมีผลงานที่เมืองโลธาล ก็ได้นำทีมขุดสำรวจแหล่งโบราณนี้อีกครั้งหนึ่ง

การขุดค้นเมืองทวารกาที่หลับใหลอยู่ใต้ทะเลรอบที่สองนี้ ได้ค้นพบเครื่องปั้นดินเผาสำริด ที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี จากนั้นทีมของเอส. อาร์. เรา ก็มีการสำรวจต่อเนื่องมาอีกยาว โดยระหว่างปี 1983-1990 ที่มีการสำรวจทั้งบนบกและใต้น้ำรอบ ๆ Bet Dwarka ได้ขุดพบโครงสร้างอาคาร ประกอบด้วย ซากกำแพง ก้อนหินขนาดมหึมา ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอาคาร และเสา ที่อาจมีอายุตั้งแต่ช่วง 3,000-1,500 ปีก่อนคริสตกาล

ทั้งหมดนี้ล้วนยืนยันถึงการดำรงอยู่ของเมืองที่เคยรุ่งเรืองเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล พิจารณาถึงเหตุผลที่เป็นไปได้แล้ว เอส. อาร์. เรา ก็มั่นใจว่าเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำนี้คือ “ทวารกาในมหาภารตะ”

ตำนานที่มีอยู่จริง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการค้นพบซากปรักหักพังช่วงปี 1983-1990 ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นโครงสร้างของกำแพงเมือง กำแพงวัด หรือเป็นชิ้นส่วนของสิ่งก่อสร้างใด ในปี 2007 กองโบราณคดีใต้น้ำ (The Underwater Archaeology Wing-UAW) ของ ASI นำโดย อโลก ตริปาถิ (Alok Tripathi) ผู้อำนวยการ UAW จึงได้มีการขุดค้นทวารกาอีกครั้งทั้งบนบกและใต้น้ำ เพื่อศึกษาโบราณสถานแบบองค์รวม

การขุดหาซากโบราณสถานในครั้งนี้ ทำให้ค้นพบโครงสร้างหินรูปครึ่งวงกลมและสี่เหลี่ยมจำนวนมาก รวมถึงการค้นพบสมอหินมากมาย ที่ชี้ให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นเมืองท่าสำคัญทางการค้าระหว่างอินเดียและอาหรับในช่วงศตวรรษที่ 15-18 จากนั้นซากปรักหักพังที่ค้นพบทั้งหมดก็ได้รับการประกาศให้เป็นซากของนครทวารกาที่ล่มสลาย

จากการวิจัยยังพบว่าภัยพิบัติได้กลืนกินทั้งเมืองเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อน ทำให้ทวารกาจมดิ่งลงสู่ก้นสมุทร นักโบราณคดีได้ตั้งสมมุติฐานถึงเหตุแห่งภัยพิบัติที่ทำให้อาณาจักรจมสู่ใต้ทะเลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงระดับพื้นใต้ทะเล แผ่นดินไหวหรือสึนามิ หรืออาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะเปิดเผยสู่สาธารณชนโดยพิจารณาจากสภาพซากอาคารว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นที่บาห์เรนในช่วงเวลาเดียวกัน

ความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจของการสำรวจทางโบราณคดีครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่พิสูจน์ว่าเมืองทวารกาของพระกฤษณะในตำนานมีอยู่จริง แต่ยังเป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่า มหาภารตะไม่ใช่เรื่องราวในเทพนิยาย!

คำว่า “ทวารกา” มาจากคำว่า “ทวาร” ในภาษาสันสกฤตแปลว่า “ประตู” ดังนั้นเมืองท่าโบราณแห่งนี้จึงอาจเป็นประตูสำหรับลูกเรือต่างชาติที่เดินทางมาถึงอินเดีย ปัจจุบันองค์การยูเนสโกยังได้ขึ้นทะเบียนทวารกาให้เป็นเมืองมรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม ซึ่งสะท้อนถึง “ความศิวิไลซ์ของมนุษยชาติ” ในฐานะเป็นเส้นทางโบราณทางการค้าและวัฒนธรรมที่เชื่อมต่อกับภูมิภาคตะวันตกและตะวันออก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

เฟซบุ๊กเพจ อ่านมหาภารตะ. ทวารกา-แอตแลนติสแห่งอินเดีย มรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม. เข้าถึงเมื่อ 3 มกราคม 2567. โดยได้รับอนุญาตจากเพจ อ่านมหาภารตะ ให้นำเนื้อหามาเผยแพร่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 มกราคม 2567