ไขปริศนา การเรียกพระนาม “พระเจ้าแผ่นดิน” มีที่มาจากอะไรบ้าง?

เจ้าฟ้าเพชร ดำรงพระอิสริยยศ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ก่อนเถลิงราชย์ พระนามพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พระเจ้าท้ายสระ การถวายอยู่งานพัด พัด
สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ในละครเรื่องพรหมลิขิต (ภาพจาก Facebook: Ch3Thailand)

สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ขุนหลวงหาวัด ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็น พระนามพระเจ้าแผ่นดิน ที่เราพอจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

พระนามพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีหลากหลาย ดังที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเรื่องนี้ไว้ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ถึงวิธีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินถึง 5 อย่าง แตกต่างกันคือ

Advertisement

พระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ
พระนามพิเศษถวายเพิ่มพระเกียรติยศ
พระนามที่เรียกกันในเวลาเมื่อเสด็จดำรงพระชนม์อยู่
พระนามที่ปากตลาดเรียกเมื่อเวลาล่วงรัชกาลไปแล้ว
พระนามที่เรียกในราชการในเวลาเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว

ในที่นี้ขอเน้นที่ข้อ 3 ถึงข้อ 5 ก็คือ พระนามที่เรียกกันในเวลาเมื่อเสด็จดำรงพระชนม์อยู่, พระนามที่ปากตลาดเรียกเมื่อเวลาล่วงรัชกาลไปแล้ว และพระนามที่เรียกในราชการในเวลาเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว

พระนามพระเจ้าแผ่นดิน ที่เรียกกันในเวลาเสด็จดำรงพระชนม์อยู่

กรมดำรงทรงอธิบายว่า มักเรียกเหมือนกันทุกพระองค์ คือผู้ที่เป็นข้าขอบขัณฑสีมาก็เรียกพระเจ้าแผ่นดินของตนว่า ขุนหลวง หรือพระเป็นเจ้า หรืออย่างที่เรียกว่า พระเจ้าอยู่หัว มิได้ออกพระนามเฉพาะพระองค์

ถ้าชาวเมืองอื่นเรียก ก็มักเรียกตามนามเมืองที่พระเจ้าแผ่นดินนั้นๆ ครอง เช่นเรียกว่า พระเจ้าอู่ทอง พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าอังวะ เป็นต้น บางทีก็เรียกตามพระนามเดิมของพระเจ้าแผ่นดินนั้นๆ เช่นเรียกว่า พระร่วง พระยาอู่ พระเจ้ามังลอง ดังนี้ พระนามที่เรียกว่าตามนามเมืองหรือตามพระนามเดิมอย่างนี้ ล้วนเป็นคำของพวกเมืองอื่นเรียก

พระนามที่ปากตลาดเรียกเมื่อเวลาล่วงรัชกาลแล้ว

ดังเช่น ขุนหลวงเพทราชา ขุนหลวงเสือ ขุนหลวงท้ายสระ ขุนหลวงทรงปลา ขุนหลวงบรมโกศ ขุนหลวงหาวัด เป็นต้น ข้อนี้ กรมดำรงทรงอธิบายว่า

“เกิดแต่ไม่รู้ว่าพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นๆ ที่ล่วงรัชกาลแล้วพระองค์ใด เรียกพระนามในราชการว่าอย่างไร ราษฎรก็เรียกเอาตามที่สำเหนียกกำหนดกัน ดังเช่นเรียกว่า ขุนหลวงเพทราชา ก็เพราะได้เป็นที่พระเพทราชาอยู่เมื่อก่อนได้ราชสมบัติ เรียกว่าขุนหลวงเสือ ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นร้ายกาจ เรียกว่าขุนหลวงท้ายสระ ก็เพราะเสด็จอยู่พระที่นั่งข้างท้ายสระ เรียกว่าขุนหลวงทรงปลา ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นชอบทรงตกปลา”

แล้วทรงอธิบายอีกว่า พระนามที่เรียกว่า ขุนหลวงบรมโกศ เป็นพระนามที่มักเรียกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่เพิ่งสวรรคตล่วงไปแล้วทุกพระองค์ อย่างเราเรียกกันว่า ในพระโกศนี้เอง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หลังในกรุงเก่าที่ได้ทรงพระโกศ) คนคงเรียกกันว่า พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ หรือในพระโกศมาแต่ครั้งกรุงเก่าแล้ว

ขุนหลวงหาวัด พระนามเดิมเรียกในราชการว่า เจ้าฟ้าอุทุมพร ได้เป็นกรมขุนพรพินิต เมื่อเสวยราชย์อยู่ในราชสมบัติไม่ช้าก็สละราชสมบัติออกทรงผนวช คนทั้งหลายจึงเรียกว่า ขุนหลวงหาวัด หมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินที่อยู่วัดมาแต่ครั้งกรุงเก่า

ครั้งถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาชั้นหลังเรียกกันว่า ขุนหลวงตาก ด้วยเหตุได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองตากครั้งกรุงเก่า

ประเพณีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินตามปากตลาดอย่างนี้ มีตลอดจนเมืองพม่ารามัญ พระเจ้าหงสาวดีชัยสิงห์ ซึ่งเป็นราชโอรสรับราชสมบัติต่อพระเจ้าบุเรงนอง พม่าเรียกภายหลังว่า “พระเจ้าเชลยตองอู” เพราะที่สุดเมื่อหนีสมเด็จพระนเรศวร ถูกไปกักเอาไว้ที่เมืองตองอูจนทิวงคต และพระเจ้าแผ่นดินพม่าพระองค์หนึ่งในราชวงศ์อลองพญา พม่าเรียกพาคยีดอ แปลว่าพระเจ้าอาว์ ดังนี้ก็มี

พระนามที่เรียกในราชการเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว

เกิดแต่ความจำเป็นที่จะต้องเรียกพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อนๆ ให้ปรากฏพระนามผิดกัน เพราะพระนามตามพระสุพรรณบัฏมักจะเหมือนกันโดยมาก จึงต้องสมมติพระนามขึ้นสำหรับเรียกเฉพาะพระองค์

กรมดำรงทรงยกตัวอย่างสมัยรัตนโกสินทร์ คือเมื่อรัชกาลที่ 2 เรียกรัชกาลที่ 1 ว่า แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง ก็เป็นอันถูกต้องเรียบร้อยมาตลอดรัชกาลที่ 2 ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 มีรัชกาลที่ล่วงแล้วเป็น 2 รัชกาลขึ้น เกิดเรียกกันขึ้นว่า แผ่นดินต้นแผ่นดินกลาง

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่พอพระราชหฤทัย รับสั่งว่า ถ้ารัชกาลที่ 1 เป็นแผ่นดินต้น รัชกาลที่ 2 เป็นแผ่นดินกลาง รัชกาลที่ 3 ก็จะกลายเป็นแผ่นดินสุดท้าย เป็นอัปมงคล จึงประกาศให้เรียกรัชกาลที่ 1 ที่ 2 ตามพระนามพระพุทธรูป ซึ่งทรงสร้างเป็นพระบรมราชูทิศไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เหตุนี้ จึงได้เรียกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 1 ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 2 ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

“มาถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นว่า เรื่องนามแผ่นดินควรจะกำหนดไว้ให้เป็นยุติเสียแต่แรกทีเดียว จึงถวายพระนามรัชกาลที่ 3 ว่า พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนรัชกาลของพระองค์เอง ให้เรียกว่า พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมาจนบัดนี้”

อ่านเพิ่มเติม: 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

พระราชงพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์พระอธิบายประกอบ. โอเดียนสโตร์. 2505


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 ธันวาคม 2566