“เอฟบีไอ” ล่า “ไอน์สไตน์” จริงหรือที่นักวิทย์คนดังเอียงซ้าย-โดนกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์

ภาพถ่าย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ภาพถ่าย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (ภาพจาก AFP)

จริงหรือไม่ที่ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein 14 มีนาคม ค.ศ. 1879 – 18 เมษายน ค.ศ. 1955) เอียงซ้าย ชื่นชอบแนวคิดแบบสังคมนิยม และโดน FBI กล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และสายลับรัสเซีย!!!!

คำตอบคือจริง และเป็นเรื่องแปลกยิ่งที่แทบไม่มีใครรู้เลยว่าไอน์สไตน์มีบทบาทอย่างมากในฐานะนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะคนส่วนใหญ่รับรู้เพียงภาพลักษณ์ของเขาในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ

แม้สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ค ไทมส์, ไทมส์, วอชิงตัน โพสต์ เคยมีการพูดถึงบทบาททางด้านการเมืองของไอน์สไตน์ แต่ก็ไม่มีสื่อไหนที่ให้รายละเอียดมากนัก ราวกับกลัวว่าหากพูดถึงแนวคิดทางการเมือง หรือการที่ FBI กล่าวหาว่าไอน์สไตน์เป็นคอมมิวนิสต์ จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในภาพลักษณ์ของชายชรา หัวฟู ใจดี ชอบสันโดษ หมกมุ่นแต่กับการแก้สมการ เปลี่ยนไป

ด้วยเหตุนี้ประวัติของไอน์สไตน์จึงสะดุดเหมือนอีกหลายคน เช่น ปีกัสโซ, โอคาเซย์ ฯลฯ เพราะเราถูกสอนให้รับรู้ประวัติศาสตร์เพียงครึ่งเดียว

มีหนังสือหลายเล่มพูดถึงไอน์สไตน์ในแง่มุมการเมือง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือหนังสือ THE EINSTEIN FILE เขียนโดย เฟรด เจอโรม (Fred Jerome) นักข่าวและนักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบทบาทด้านการเมืองของไอน์สไตน์ ซึ่งไม่เคยมีหนังสือเล่มไหนพูดถึงมาก่อนอย่างละเอียด

เฟรด เจอโรม พบข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มไอน์สไตน์โดยบังเอิญ ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 1983 จึงค้นคว้าเพิ่มเติมโดยสอบถามจากอดีตเจ้าหน้าที่ FBI และยื่นคำร้องขอดูแฟ้ม FBI ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ และพบว่า “แฟ้มไอน์สไตน์” มีความหนาถึง 1,800 หน้า และส่วนใหญ่ FBI จะลบข้อมูลบางส่วนออกไป เช่น ชื่อและรหัสของเจ้าหน้าที่ สายที่คอยรายงานข่าว เพื่อเหตุผลทางความมั่นคง แต่ข้อมูลที่เหลืออยู่ก็เพียงพอจะบ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลอเมริกันมีทัศนคติเช่นไรต่อคนต่างด้าวผู้นี้

บางส่วนของเอกสารแฟ้มลับที่เอฟบีไอตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนไอน์สไตน์

แฟ้มไอน์สไตน์ เริ่มต้นเมื่อไอน์สไตน์เดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาในปี 1933 ในฐานะศาสตราจารย์ประจำสถาบันการศึกษาชั้นสูง (Advanced Institute) แห่งปรินซ์ตันและผู้ลี้ภัย เขาได้รับการต้อนรับจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ชื่นชมในความสามารถ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางกลุ่มต่อต้านการลี้ภัยของเขา เช่น กลุ่มสตรีผู้รักชาติที่กล่าวหาว่าไอน์สไตน์เป็นคอมมิวนิสต์และมีแผนบ่อนทำลายอเมริกา เนื่องจากบทบาททางด้านการเมืองของเขาในเยอรมนี

ไอน์สไตน์เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่นาซีต้องการกวาดล้าง เพราะความที่เป็นยิวและเคยเขียนบทความประณามการกระทำของฮิตเลอร์ ซึ่งในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด รัสเซียกับเยอรมนีอยู่คนละฝ่าย ซึ่งก็หมายความว่าฟาสซิสต์กับคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูกัน ใครที่โดนนาซีขึ้นบัญชีดำไม่เป็นยิวก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งในกรณีของไอน์สไตน์หลายคนเชื่อว่าเขาเป็นทั้ง 2 อย่าง

ในยุคที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังร้อนระอุและลัทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซียก็กำลังขยายไปทั่วโลก อเมริกาจึงต้องระแวดระวังภัย รวมทั้งสั่งสมอำนาจทางการทหารให้เหนือกว่าศัตรู ใครที่มีความเห็นตรงข้ามกับรัฐ มีพฤติกรรมน่าสงสัย มักจะถูกจับตามอง โดยเฉพาะคนต่างด้าวที่ลี้ภัยการเมืองเช่นไอน์สไตน์

ฉะนั้น เขาจึงถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และสายลับรัสเซีย!!!!

เป็นเหตุให้ เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ (J. Edgar Hoover) ผู้อำนวยการ FBI (สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลาง) ในขณะนั้น ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเผด็จการ ขวาจัด และแอนตี้ยิวอย่างรุนแรง ตั้งแฟ้ม (สอบสวนอย่างลับๆ) “ไอน์สไตน์” ทันที

นอกจากตั้งแฟ้มสืบสวนไอน์สไตน์อย่างลับๆ แล้ว FBI ยังตั้งแฟ้มคนดังในแวดวงอื่นๆ ด้วย อาทิ ชาลี แชปลิน จอห์น เลนนอน เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ ฯลฯ

สิ่งที่ FBI ใช้เป็นหลักฐานในการตั้งแฟ้มบุคคลเหล่านี้คือการเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ ที่มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ บทความโจมตีในหนังสือพิมพ์ (ซึ่งบางครั้ง FBI เป็นคนเขียนและส่งบทความเหล่านี้เองหลังจากนั้นก็ตัดเก็บไว้เป็นหลักฐานในแฟ้ม)

บางส่วนของเอกสารแฟ้มลับที่เอฟบีไอตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนไอน์สไตน์

ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ หลักฐานเหล่านั้นไม่ได้หนักแน่นพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ได้เลยหลังจากที่ลี้ภัยในอเมริกา ไอน์สไตน์ยิ่งแสดงบทบาททางการเมืองเด่นชัดขึ้น เขาร่างจดหมายถึงประธานาธิบดีทรูแมนให้ดำเนินโครงการวิจัยเรื่องระเบิดปรมาณูเพื่อใช้กับเยอรมนี (หลังจากเหตุการณ์บอมบ์ฮิโรชิมาและนางาซากิ ไอน์สไตน์กลับอยู่แถวหน้าของกลุ่มผู้ต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู) รณรงค์ต่อต้านการเหยียดสีผิว ร้องขอความเป็นธรรมให้กับนักโทษประหาร กล่าวปาฐกถาต่อต้านสงคราม และมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรอีกหลายองค์กรที่หน่วยงานของรัฐและ FBI เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า FBI [และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ เช่น G-2 (หน่วยข่าวกรองกองทัพบก) HUAC (คณะกรรมการด้านกิจการของคนต่างด้าวแห่งสภาคองเกรส)] จะกล่าวหาไอน์สไตน์ว่าเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนว่ากำลังแอบสืบสวนนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ เนื่องจากความเป็นบุคคลสาธารณะและการที่สร้างคุณูปการมากมายให้กับวงการวิทยาศาสตร์ทำให้มีผู้สนับสนุนเขาอยู่ไม่น้อย ซึ่งข้อนี้ฮูเวอร์รู้ดี เขาจึงไม่คิดจะเปิดเผยแฟ้มนี้ แต่ใช้การสร้างสถานการณ์บ่อนทำลายชื่อเสียงของไอน์สไตน์แทน และพยายามหาหลักฐานมัดตัว จวบจนวาระสุดท้ายของไอน์สไตน์ในปี 1955

THE EINSTEIN FILE นำเสนอเรื่องราวอย่างเป็นกลาง ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในหนังสือคือมีที่มาที่ไปและหลักฐานยืนยัน บทบาทด้านการเมืองของไอน์สไตน์น่าตื่นเต้น เร้าใจ ราวกับนวนิยายสืบสวน สอบสวน ซึ่งพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกา ในขณะเดียวกันก็ปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ชีวิตของไอน์สไตน์ที่ขาดหายไป และตอบข้อกังขาที่ว่าไอน์สไตน์รอดจากข้อกล่าวหามาได้อย่างไร

แม้ว่าไอน์สไตน์จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือเป็นแค่เพียงผู้ที่มีความคิดทางการเมืองเป็นของตนเอง แต่เขาก็คือนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ และทำคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้กับโลกนี้ เขาอาจจะพลาดที่มีบทบาททางการเมืองโดดเด่นในยุคสงครามเย็น แต่เชื่อแน่ว่าสิ่งที่ไอน์สไตน์ทำลงไปเกิดจากการคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ และเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยแท้จริงและควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษ

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 ตุลาคม 2560