
ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในนายกรัฐมนตรีไทยที่อยู่ทน อยู่นาน ซึ่งหนึ่งในวิถีทางสร้างความมั่นคงในตำแหน่งทางการเมืองที่ จอมพล ป. เลือกใช้ก็คือการสร้างภาพลักษณ์ “จอมพล ป. นักประชาธิปไตย” ถึง “พ่อขุนจอมพล ป.” ที่หวังให้เป็น ซอฟต์พาวเวอร์ ช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์
เรื่องดังกล่าวนี้ อิทธิเดช พระเพ็ชร ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคม 2566 ในบทความชื่อ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง : จาก ‘จอมพล ป. นักประชาธิปไตย’ ถึง ‘พ่อขุนจอมพล ป.’ ภาพลักษณ์ทางการเมืองสุดท้ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม”

จอมพล ป. ใช้ซอฟต์พาวเวอร์ดังกล่าวคือ ปลายทศวรรษ 2490 หรือก่อนการรัฐประหารปี 2500 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ จอมพล ป. กำลังขับเคี่ยวกับผู้นำทางการเมืองในเครื่องแบบอีก 2 คน หนึ่งคือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หนึ่งคือ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
เริ่มจากภาพลักษณ์ “นักประชาธิปไตย” เพื่อลบล้างภาพผู้นำแบบเผด็จการซึ่งเป็นที่จดจำมาในทศวรรษก่อน มีการสันนิษฐานว่า ความคิดนี้เกิดจากการเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป
เมื่อเดินทางกลับมาถึงไทย จอมพล ป. เปลี่ยนสนามหลวงให้เป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์ หรือเวที “ไฮด์ปาร์ก” เพื่อสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยเช่นในต่างประเทศ ที่พ่วงความหวังของ จอมพล ป. ที่ต้องการให้เวทีไฮด์ปาร์กเป็นกลยุทธ์ที่โจมตีคู่แข่งทางการเมืองอย่าง พลตำรวจเอก เผ่า และ จอมพล สฤษดิ์ ไปในตัวด้วย

ขณะเดียวกันเวทีไฮด์ปาร์กก็มีแรงสะท้อนกลับมายัง จอมพล ป. เองเช่นกัน เมื่อ พลตำรวจเอก เผ่า ก็ใช้เวทีไฮด์ปาร์กโจมตีคู่แข่งในคณะรัฐมนตรี, กลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายใช้เป็นเวทีในการโจมตีรัฐบาล จอมพล ป. พลตำรวจเอก เผ่า และสหรัฐอเมริกา สุดท้ายกลุ่มรอยัลลิสต์ที่ใช้เป็นเวทีโจมตีรัฐบาล จอมพล ป.
กิจกรรมการเมืองอย่าง “ไฮด์ปาร์ก” ในไทย ยังก่อให้เกิดกลุ่ม “นักไฮด์ปาร์ก” จนพัฒนากลายเป็นพรรคการเมืองในนาม “พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค” ที่มี นายเพทาย โชตินุชิต เป็นหัวหน้าพรรค, นายชวน รัตนวราหะ เป็นเลขาธิการพรรค และมี นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ นายพีร์ บุนนาค ฯลฯ เป็นแกนนำสำคัญ
ไฮด์ปาร์กจึงกลายเป็น “หนามยอกอก” จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เมื่อ นายทองอยู่-นักไฮด์ปาร์กเรียกร้องให้ จอมพล ป. ยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งเพื่อเป็นฐานเสียงของรัฐบาลในสภาฯ จนนำไปสู่การประท้วง “อดข้าว” จอมพล ป. พยายามแก้เผ็ดกลุ่มผู้ประท้วงด้วยการจัดอาหารอย่างดีไปให้
แต่นักไฮด์ปาร์กแก้เผ็ดกลับ จอมพล ป. ด้วยการนำอาหารดังกล่าวไปให้หมาแม่ลูกอ่อนในพื้นที่ และกล่าวโจมตีว่า “ผมมาอดข้าว จอมพล ป. กลับเอาข้าวมาวางบนโต๊ะอย่างนี้ เป็นการยั่วพวกผมโดยตรง นี่เป็นการแสดงสปิริตของจอมพล ป. แล้วหรือยังครับว่า จอมพล ป. นั้นจะเป็นประชาธิปไตยกับเขาได้หรือไม่?”
ขณะที่ภาพลักษณ์ “พ่อขุนจอมพล ป.” นั้นพยายามดึงศรัทธามหาชนด้วยการอ้างอิงกับความเชื่อทางประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ โดยตีความการปกครองแบบ “พ่อขุน”
พ่อขุนที่ว่า คือ พ่อขุนรามคำแหง ที่ในศิลาจารึกของพระองค์มีบันทึกสิทธิเสรีภาพของประชาชน ว่าด้วยเสรีภาพในการค้าขาย สิทธิในการร้องทุกข์ขอความยุติธรรม ที่นักเขียนบางคนเชื่อว่านี่คือธรรมนูญการปกครองของไทยที่มีมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หลายร้อยปี
จอมพล ป. นำเอาแนวคิด “พ่อขุน” มาสร้างเป็นภาพลักษณ์ “พ่อขุนจอมพล ป.” ในรูปแบบของละครเวทีเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง ที่แสดงในช่วงปลาย พ.ศ. 2497 นิตยสาร Thailand Illustrated สิ่งพิมพ์ของรัฐบาล ได้กล่าวถึงการแสดงละครเวทีเรื่องนี้ว่า
“ละครเรื่อง ‘อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง’ หลวงวิจิตรวาทการ อัครราชทูตไทยประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียได้เป็นผู้สร้างขึ้นตามความดำริของ พณท่าน นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อเฉลิมพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวไทยในสมัยเมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เริ่มเมื่อ พ.ศ. 1820 (คือเมื่อ 677 ปีมาแล้ว) และสิ้นสุดรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 1860 ขณะนี้ละครเรื่องนี้กำลังแสดงอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรม ทุกวันเสาร์เวลา 14.00 น. และ 20.00 น. และวันอาทิตย์เวลา 10.00 น. มีประชาชนเข้าชมเต็มทุกที่นั่งทุกๆ รอบ”

นอกจากละครเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง ที่ จอมพล ป. พยายามทำให้ประชาชนคิดว่าตนเป็นพ่อขุนรามคำแหงแล้ว นิตยสาร Thailand Illustrated เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2498 ยังนำภาพ จอมพล ป. ขณะเยี่ยมชมโบราณสถานมาลงประกอบไว้ภายในหน้าเดียวกัน โดยมีข้อความตัวใหญ่อยู่ใต้ภาพของ จอมพล ป. ว่า “อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง” เพื่อย้ำน้ำหนักให้คิดได้ไปในทิศทางดังกล่าว
หากการสร้างภาพลักษณ์ “นักประชาธิปไตย” และ “พ่อขุนจอมพล ป.” ของ จอมพล ป. ที่ อิทธิเดช พระเพ็ชร เรียบเรียงไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่น การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการกับสื่อทุกสัปดาห์ ที่เรียกว่า “เพรสคอนเฟอเรนซ์, การเชื่อมโยงตัวเองกับชาตินิยม, ศาสนา ฯลฯ แล้วผลสำเร็จ และการโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไร ขอได้โปรดติดตามจาก “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนพฤษภาคม 2566

อ่านเพิ่มเติม :
- เบื้องหลัง “จำลอง” ชวน “ทักษิณ” เล่นการเมือง ก่อนตั้งทรท.ผงาดเป็นนายก
- เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด ฉบับ “สฤษดิ์-เผ่า” กับควันหลงวาทะ “ทำไมมึงทำกับกู..พูดกันดีๆ ก็ได้
เผยแพร่ในระบบออนลไน์ครั้งแรกเมื่อ 17 พฤษภาคม 2566