“อิงเง่ ซาร์เจนท์” มหาเทวีองค์สุดท้ายแห่งสีป่อ ผู้ถ่ายทอด “สิ้นแสงฉาน”

อิงเง่ ซาร์เจนท์ มหาเทวี สีป่อ กับ เจ้าจาแสง
เจ้าจาแสง กับ อิงเง่ ซาร์เจนท์ (ภาพจาก https://www.facebook.com/tssai13/photos/a.378529215543627/905804649482745/)

อิงเง่ ซาร์เจนท์ มหาเทวีองค์สุดท้ายแห่งสีป่อ รัฐฉาน ผู้เขียนหนังสือ สิ้นแสงฉาน มีชีวิตราวกับเทพนิยาย พบรักกับ เจ้าจาแสง เจ้าชายหนุ่มจากดินแดนตะวันออก ครองรักกันอย่างมีความสุข แต่แล้วทุกอย่างกลับแหลกสลายด้วยรัฐประหารในพม่า 

อิงเง่ ซาร์เจนท์ หรือนามสกุลเดิม อีเบอร์ฮาร์ด มหาเทวีแห่งสีป่อ เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 1932 (พ.ศ. 2475) เธอพบ “เจ้าจาแสง” ครั้งแรก ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ขณะทั้งคู่ศึกษาในมหาวิทยาลัยช่วงต้นทศวรรษ 1950 ระหว่างคบหากัน อิงเง่ไม่เคยรู้เลยว่าชายคนรักเป็นเจ้าฟ้าหลวงแห่งสีป่อ และเมื่อความรักสุกงอม ทั้งคู่ก็แต่งงานกันเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ปี 1953 ที่เมืองเดนเวอร์

ความจริงมาเปิดเผยเอาเมื่อเจ้าจาแสงซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมเหมืองแร่ พาอิงเง่เดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองสีป่อ เมื่อเรือเข้าเทียบท่าที่พม่า อิงเง่สงสัยว่าทำไมถึงมีผู้คนมาต้อนรับมากมายขนาดนั้น เจ้าจาแสงจึงบอกว่าพระองค์คือผู้ปกครองนครรัฐสีป่อในรัฐฉาน

แม้ตกใจ แต่ด้วยความรักก็ทำให้ในระยะเวลาไม่นานอิงเง่สามารถเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทใหญ่ได้อย่างกลมกลืน เธอได้รับชื่อใหม่ว่า “สุจันทรี” และได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาเทวีแห่งสีป่ออย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 1957

เจ้าจาแสง และมหาเทวีแห่งสีป่อ ได้ชื่อว่าเป็นคู่รักราชนิกุลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดานครรัฐไทใหญ่ 30 กว่าแห่ง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเจ้าจาแสงเรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ และมุ่งมั่นนำความรู้กลับมาพัฒนาสีป่อ อีกส่วนอาจเป็นเพราะมหาเทวีเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งชาวสีป่อและชาวไทใหญ่ในนครรัฐอื่น ๆ ไม่คุ้นตานัก

“ทีแรกนั้นชาวบ้านตื่นตระหนกกับการมีเจ้านายฝ่ายหญิงเป็นสตรีชาวยุโรป ในช่วงแรก ๆ หลายคนถึงกับตั้งแง่ แต่แล้วไม่นานกำแพงดังกล่าวก็ถูกทลายลง ทุกวันนี้มหาเทวีเป็นที่รักและชื่นชมของคนทั้งสีป่อซึ่งยอมรับเธอเป็นพวกเดียวกับพวกเขา” โอกู ครารุพ-นีลเซน นักเขียนชาวเดนมาร์กผู้เคยไปเยือนสีป่อช่วงปลายทศวรรษ 1950 บอกไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “The Land of the Golden Pagodas”

เจ้าจาแสงและสุจันทรีร่วมกันพัฒนานครรัฐสีป่อ ทั้งด้านการเกษตรกรรม สาธารณสุข การศึกษา เพื่อให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงัก เพราะในวันที่ 2 มีนาคม ปี 1962 นายพลเนวินนำกำลังทหารยึดอำนาจของรัฐบาลอูนุที่มาจากการเลือกตั้ง ล้มล้างรัฐธรรมนูญ

หนึ่งวันก่อนนายพลเนวินทำรัฐประหาร เจ้าจาแสงทรงเดินทางด้วยเครื่องบินไปเข้าประชุมรัฐสภาที่กรุงย่างกุ้ง จากนั้นกลับไปที่ตองจี เพื่อเยี่ยมไข้พระพี่นางซึ่งประชวรหนัก

เจ้าจาแสงจึงยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และเสด็จออกตั้งแต่เช้า เพื่อขึ้นเครื่องบินไปยังสนามบินล่าเสี้ยวประจำสีป่อ แต่เมื่อมาถึงประตูเมืองตองจีบนทางหลวงสู่เมืองเฮโฮ ทหารที่ตั้งด่านอยู่ก่อนแล้วก็เรียกให้รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าจาแสงจอด มีคนพบเห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายว่าถูกทหารอาวุธครบมือควบคุมตัวไป

สุจันทรีซึ่งอยู่ที่สีป่อ พยายามสืบหาว่านายพลเนวินนำตัวเจ้าจาแสงไปไว้ที่ไหน แต่ก็ถูกทหารจับตามองแทบไม่คลาดสายตา ทั้งยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่าตกลงแล้วเจ้าจาแสงยังทรงมีพระชนมชีพอยู่หรือจากไปแล้ว จนวันหนึ่ง สุจันทรีตัดสินใจพาพระธิดาคือมายรีและเกนรีเดินทางเข้าไปพำนักที่กรุงย่างกุ้ง เพื่อจะได้สืบข่าวอย่างละเอียดได้มากขึ้น

แม้สุจันทรีจะพยายามทวงถามความยุติธรรมถึงชีวิตของเจ้าจาแสงจากนายพลเนวินเท่าใด แต่นายพลเนวินและบรรดาทหารก็ไม่เคยให้คำตอบที่มากไปกว่า “เจ้าจาแสงสบายดี” และถูกกักตัวไว้ในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ทหารระดับใหญ่โตบางรายกลับบอกว่า “เจ้าจาแสงไม่เคยถูกควบคุมตัว” ส่วน “โบเสตจะ” อดีตนักการเมืองพม่า เล่าให้สุจันทรีทราบถึงข่าวร้ายว่า เจ้าจาแสงถูกทหารปลงพระชนม์แล้ว ที่ค่ายทหารบาตูเมี้ยวทางเหนือของตองจี ไม่นานหลังถูกควบคุมตัว

เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ท้ายสุด สุจันทรีจึงต้องพามายรีและเกนรีออกจากพม่ากลับไปยังออสเตรีย จากนั้นทำงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย อยู่สักพัก ระหว่างนั้น “อิงเง่” ได้รู้จักและคุ้นเคยกับครอบครัวของ โสภาค สุวรรณ นักเขียนชื่อดังของไทย เนื่องจากบิดาของโสภาครับราชการในสถานเอกอัครราชทูตที่นั่น เป็นที่มาของนวนิยายเรื่อง “เกนรี มายรี” ของโสภาค

ปี 1966 อิงเง่และทายาททั้งสองเดินทางไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา และแต่งงานกับ โฮวาร์ด “แทด” ซาร์เจนท์ ในปี 1968

แม้ชีวิตที่นครรัฐสีป่อจะจบลง แต่อิงเง่ยังคงผูกพันกับชาวสีป่อ เธอเขียนหนังสือ “Twilight Over Burma: My Life as a Shan Princess” (แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “สิ้นแสงฉาน”) บอกเล่าชีวิตของเธอและเจ้าจาแสง ควบคู่กับการตีแผ่ความโหดร้ายของเผด็จการทหารยุคนายพลเนวิน

อิงเง่ ซาร์เจนท์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 2023 ในวัย 91 ปี ทิ้งเรื่องราวยุครุ่งเรืองของนครรัฐสีป่อแห่งรัฐฉาน ไว้ให้ผู้คนทั่วโลกได้จดจำและนึกถึง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ซาร์เจนท์, อิงเง่. สิ้นแสงฉาน. พิมพ์ครั้งที่ 19. กรุงเทพฯ: มติชน. 2564.

“สิ้นแสงฉาน ‘พระนางสุจันทรี’ มหาเทวีองค์สุดท้าย รัฐฉาน สิ้นแล้ว อายุ 91 ปี” https://www.matichon.co.th/foreign/news_3810570


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2566