ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2561 |
---|---|
ผู้เขียน | ธีระวัฒน์ แสนคำ |
เผยแพร่ |
วัดโพนชัยเป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมันในเขตเมืองด่านซ้าย ตำแหน่งที่ตั้งของศาสนาคารที่สำคัญของวัดอยู่เนินสูง ซึ่งในภาษาถิ่นเรียกว่า “โพน” จึงมีชื่อเรียกว่า “วัดโพน” วัดโพนชัยสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไรนั้นไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจน นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในคราวเดียวกันกับการสร้างพระธาตุศรีสองรักในระหว่าง พ.ศ. 2103-06 โดยเป็นที่พักของพระสงฆ์ที่มาร่วมงานสมโภชพระธาตุศรีสองรัก [9]
ซึ่งสอดคล้องกับนักประวัติศาสตร์ศิลปะที่ระบุว่าภายในวัดมีพระเจดีย์ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับพระธาตุศรีสองรัก แต่มีขนาดเล็กและชะลูดกว่าซึ่งน่าจะสร้างขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงหรือหลังการสร้างพระธาตุศรีสองรักเล็กน้อย [10]
ชาวบ้านเชื่อว่าบริเวณเนินดินที่ถูกสร้างเป็นวัดโพนชัยนั้นเกิดจากขุยดินปากรูพญานาค ซึ่งในสมัยพุทธกาลพญานาคเคยได้ถวายพื้นที่แห่งนี้ให้พระพุทธเจ้าประทับแรม พร้อมด้วยพระสาวก 500 รูปมาก่อน ทำให้ขุยดินปากรูพญานาคดังกล่าวกลายเป็นเนินดินย่อม ๆ ชาวด่านซ้ายเรียกเนินดินนี้ว่า “โพน” ภายหลังจึงมีการสร้างวัดและศาสนาคารบนเนินดินดังกล่าวแล้วตั้งชื่อเป็นมงคลว่า “วัดโพนชัย” [11]

เหนือเนินดินวัดโพนชัยมีวิหารหลวงเป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของวัด เป็นอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง หันหน้าไปทางทิศใต้สู่แม่น้ำหมันและตัวชุมชนเมืองด่านซ้าย เดิมเป็นวิหารโถง เสาไม้ แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนบนเป็นเครื่องไม้มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ส่วนล่างเป็นผนังก่ออิฐถือปูน มีช่องหน้าต่าง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อพระเจ้าใหญ่” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 79 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง ฝีมือช่างท้องถิ่น อายุราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างวัดโพนชัย [12]
ที่พื้นวิหารหลวงทางด้านหลังทางซ้ายของฐานชุกชีพระประธานติดกับผนังมีหลุมคล้ายรูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เมตร มีป้ายขนาดเล็กเขียนกำกับที่ปากหลุมไว้ว่า “รูพญานาค” จากการสัมภาษณ์พระมหายุรนันท์ สุมงฺคโล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพนชัย ทำให้ทราบว่าการทำหลุมหรือรูพญานาคนี้ทำทดแทนรูพญานาคเดิมที่อยู่ทางหลังด้านขวาของฐานชุกชีที่ถูกปิดไปเมื่อราว 30 ปีมาแล้ว [13]
รูพญานาครูเดิมนั้นมีขนาดปากหลุมใกล้เคียงกับรูปัจจุบัน รูดังกล่าวปรากฏอยู่ด้านข้างฐานชุกชีมาช้านานแล้ว สันนิษฐานว่าตั้งแต่พร้อมกับการสร้างวิหารหลวง เคยมีผู้เอาลูกมะพร้าวแห้งหย่อนลงไปในหลุม ปรากฏว่าลูกมะพร้าวแห้งดังกล่าวได้ไปปรากฏลอยวนอยู่ในแม่น้ำหมันบริเวณท่าวังเวินซึ่งอยู่เยื้องจากหน้าวิหารหลวงไปทางทิศตะวันออก ชาวด่านซ้ายเชื่อว่าเป็นทางขึ้นลงของพญานาคจากแม่น้ำหมันที่มาคอยดูแลปกปักรักษาองค์พระเจ้าใหญ่ [14]
ในอดีตยังมีเรื่องเล่าว่าในช่วงวันพระมักจะปรากฏเป็นคราบโคลนหรือน้ำอยู่บนฐานชุกชีและหน้าตักพระเจ้าใหญ่เป็นประจำ บ้างก็ว่าเป็นรอยคล้ายกับรอยพญานาค คราบโคลนหรือน้ำที่ปรากฏดังกล่าวเชื่อว่าเป็นโคลนที่ติดมากับตัวพญานาคที่ขึ้นมากราบและดูแลพระเจ้าใหญ่วัดโพนชัย [15] ทั้งนี้ ความเชื่อเรื่องรูพญานาคดังกล่าวยังสอดคล้องกับเรื่องเล่าที่มาของเนินดินวัดโพนชัยที่เกิดจากขุยดินปากรูพญานาคตั้งแต่สมัยพุทธกาลอีกด้วย
ต่อมาพระครูสุมนวุฒิกร (หลวงปู่ใหญ่) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพนชัย ได้ปิดรูพญานาคดังกล่าว เนื่องจากไม่ต้องการให้พญานาคเอาโคลนเข้าในวิหารหลวง แต่หลังจากปิดรูแล้วทำให้วัดโพนชัยไม่เจริญรุ่งเรือง มีแต่ทรุดโทรมลงไป ทำให้ใน พ.ศ. 2536 เกิดเหตุการณ์พญานาคได้มาเข้าทรงร่างคุณยายสมปอง ชามนตรี ชาวบ้านเดิ่น ตำบลด่านซ้าย พร้อมกับพูดต่อว่ามาปิดทางเดินของพญานาคทำไม เพราะพญานาคไม่สามารถขึ้นมารักษาดูแลพระเจ้าใหญ่ได้ ปิดรูของพญานาคก็เหมือนปิดวัด [16]

หลังจากพญานาคมาเข้าทรงแล้ว พระสงฆ์ ชาวบ้าน และคณะกรรมการวัดจึงได้ตกลงเปิดรูที่อยู่หลังพระเจ้าใหญ่อีกครั้ง โดยขยับมาไว้ทางด้านซ้ายของฐานชุกชี เพื่อให้พญานาคขึ้นมาดูแลพระเจ้าใหญ่ นับแต่นั้นมาวัดโพนชัยก็มีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างประเทศในฐานะสถานที่จัดงานบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนอันโด่งดังไปทั่วโลก…
จากการตีความหลักฐานประวัติศาสตร์และคติชนวิทยาพบว่า คำว่า “นาค” ที่ปรากฏอยู่ในตำนานหรือนิทานปรัมปราต่าง ๆ บางครั้งไม่ได้หมายถึงสัตว์ หากแต่ “นาค” คือกลุ่มคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีระบบความเชื่อทางศาสนาเป็นของตนเองมาก่อน คือ ลัทธิบูชางูหรือนาค [18] ดังนั้น เรื่องเล่านิทานปรัมปราเกี่ยวกับพญานาคในลุ่มน้ำหมันจึงอาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่นับถือพญานาคหรืองูใหญ่ แล้วต่อมาก็เกิดการปรับเปลี่ยนมารับคติพระพุทธศาสนาในภายหลัง แต่ยังคงยกย่องพญานาคให้คอยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาต่อไป
ความเชื่อเรื่องรูพญานาคที่วัดโพนชัยเห็นได้ชัดว่าสถานที่ตั้งวัดโพนชัยได้เกิดการสร้างวัดทางพระพุทธศาสนาซ้อนทับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อดั้งเดิม คำอธิบายเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าและพระสาวกแล้วพญานาคก็ยอมยกเนินขุยดินปากรูให้เป็นที่ประทับแรมนั้น สะท้อนให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานอยู่ที่บริเวณวัดโพนชัยแห่งนี้แทนที่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อเรื่องพญานาคของกลุ่มคนพื้นเมืองดั้งเดิม และเป็นการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาแทนความเชื่อดั้งเดิมเรื่องนาคของผู้คนในลุ่มน้ำหมันแห่งนี้
หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดบางส่วนจากบทความ “เรื่องเล่าพญานาคในลุ่มน้ำหมัน : การผสานความเชื่อดั้งเดิมกับพระพุทธศาสนาในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย” โดย ธีระวัฒน์ แสนคำ เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2561
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มีนาคม 2564
อ้างอิง :
[9] สัมฤทธิ์ สุภามา และคณะ. พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ดินแดนแห่งสัจจะและไมตรี. (เลย : มูลนิธิพระธาตุศรีสองรัก, 2556), น. 42.
[10] ศักดิ์ชัย สายสิงห์. เจดีย์ พระพุทธรูป ฮูปแต้ม สิม ศิลปะลาวและอีสาน. (กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส, 2555), น. 71.
[11] พระมหายุรนันท์ สุมงฺคโล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย, สัมภาษณ์ วันที่ 25 สิงหาคม 2561.
[12] ธีระวัฒน์ แสนคำ. พระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดเลย. (เลย : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, 2561), น. 24-35.
[13] พระมหายุรนันท์ สุมงฺคโล สัมภาษณ์ วันที่ 25 สิงหาคม 2561.
[14] นางประจบ หมื่นสม ปราชญ์ท้องถิ่นตำบลด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย, สัมภาษณ์ วันที่ 26 สิงหาคม 2561.
[15] พระครูถาวรรัตนากร (เชาวรัตน์ จตฺตภโย) เจ้าคณะตำบลด่านซ้าย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย, สัมภาษณ์ วันที่ 25 สิงหาคม 2561.
[16] นางสมปอง ชามนตรี ผู้ถูกพญานาคเข้าทรงร่าง ชาวบ้านเดิ่น อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย, สัมภาษณ์ วันที่ 26 สิงหาคม 2561.
[18] ดู สุจิตต์ วงษ์เทศ. นาคในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2546), น. 3-62.