ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“ผี มีจริงหรือไม่?” ใครที่ยังไม่เจอกับตัวเองก็ยากจะตอบว่ามีจริงหรือไม่ แต่จากประสบการณ์ที่เหล่าเจ้านายได้ทรงพบเจอที่ “วังท่าพระ” ผีอาจจะมีจริง
เรื่องกลัวผีนี้ เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายท่านสอนลูกหลานไม่ให้กลัวเกินกว่าเหตุ แต่จะได้ผลเมื่อเด็กๆ กลัว หรือยำเกรงผู้ใหญ่ท่านนั้นมากกว่าผี
เหมือนกับ หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร จิตรพงศ์ ทรงเขียนไว้ใน “ป้าป้อนหลาน” ที่ใช้อ้างอิงครั้งนี้ [จัดย่อหน้าใหม่และเน้นคำเพื่อสะดวกในการอ่าน โดยผู้เขียน]
เมื่อลูกหลานของท่านถามว่า “ป้าเคยเห็นผีไหมคะ” ท่านก็ทรงรับว่ากลัวมากเหมือนเด็กอื่นๆ แต่ก็กลัวพระบิดา (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) มากกว่า ก่อนจะทรงเล่าให้หลานๆ ฟังว่า
“เสด็จปู่ (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) ไม่โปรดให้ลูกกลัวผี ถ้าท่านจับได้ว่ากลัวก็จะถูกดัดสันดานเสียงอมจนชินเข้าก็กล้าไปเอง…”
สถานที่ “ดัดสันดาน” ก็คือ ในวังท่าพระ ที่มีชื่อเสียงเรื่อง “ผีดุ”
วังท่าพระ ผีดุ
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร ทรงเล่าว่า “พวกพี่ๆ ของป้าเคยเล่าว่าในสมัยเด็ก ที่ดัดสันดานของเด็กรุ่นท่าน คือ ตำหนักในสวนที่วังท่าพระ ปลูกอยู่ติดกําแพงข้างต้นจันทน์แถวต้นสาเก… เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องผีดุ เสด็จปู่ (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) จึงทรงลืมของไว้ที่ตำหนักนั้นบ่อยที่สุดไม่ซองบุหรี่ ก็ไม้ขีดไฟ และหนังสือที่ทางอ่านค้างอยู่เป็นต้น ใครมีท่าว่ากลัวผีถูกใช้ให้ลงไปหยิบ และมักต้องไปบ่อยๆ จนกว่าจะหายหน้าซีด…
ที่เดือดร้อนมากที่สุดคือทรงใช้ให้ไปรินน้ำชามาถ้วยหนึ่ง ถ้ามีเสียงอะไรแกรกกรากก็วิ่งไม่ได้ ต้องเดินประคองไม่ให้กระฉอก กลัวสมเด็จมากกว่าผีก็ต้องแข็งใจทน แต่ก็ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกสักที
ครั้นถึงสมัยเด็กรุ่นป้าตําหนักสวนนั้นรื้อแล้ว สถานฝึกหัดเปลี่ยนเป็นในห้องบรรทม ซึ่งมีตู้พระอัฐิเป็นตู้ไม้ทึบบานเป็นกระจกเงา เวลาเข้าไปมืดๆ เห็นเงาตัวเองวูบวาบในกระจกนึกว่าใครเดินมาจากในตู้นั้น หัวใจจะหยุดเสียให้ได้
และที่ท้องพระโรง ซึ่งถ้าเป็นเวลาที่ว่างอยู่เพียงแต่จะต้องเดินผ่านไปเฉยๆ ก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นเวลาที่มีพระศพตั้งอยู่ด้วย พอลงบันไดหน้ามุขไปได้ 3-4 ขั้นก็ต้องนั่งลงร้องไห้จนกว่าจะมีใครสงสารแอบเลี่ยงมาอาสาไปเป็นเพื่อน เสด็จปู่ท่านก็ทรงทราบ… แต่ท่านทรงเฉยเสีย ทำเหมือนไม่รู้เท่าเพราะไม่ได้ตั้งพระทัยจะเข้มงวดนัก หัดไปสอนไปโตขึ้นก็สามารถควบคุมจิตใจได้เอง”
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตรเองก็เคยทูลถามพระบิดาว่าเคยเห็นผีหรือไม่เช่นกัน
ท่านรับสั่งว่า “พ่อไม่เคยเห็นผี แต่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบางครั้งที่อธิบายไม่ได้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นครั้งหนึ่ง พ่อลืมตาตื่นขึ้นกลางดึกรู้สึกหนาว มองดูหน้าต่างข้างเตียงเห็นเปิดอยู่ทั้งสองบาน แสงเดือนส่องทอดเข้ามาที่พื้นห้องสว่างเป็นลำ พ่อลุกขึ้นนั่งบนเตียง คิดจะเดินไปปิดหน้าต่าง… จึงลุกไปปิดหน้าต่างเอื้อมมือออกไปเจอะหน้าต่างปิดลงกลอนเรียบร้อยแล้วทั้งสองบาน ไม่เข้าใจเลยว่าฝันหรือละเมอ หรืออะไร ทำไมจึงเป็นไปได้เช่นนั้น อธิบายไม่ได้จนบัดนี้
อีกครั้งหนึ่งพ่อกำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างบน ได้ยินเสียงใครเคาะโลหะอะไรอย่างหนึ่งที่ในห้องใต้ชั้นต่ำ ดังรัวกังวานได้ยินถนัดหมดทุกคน (ห้องใต้ชั้นต่ำนี้อยู่ชั้นล่างตรงกับห้องเสวย เป็นที่ทรงเก็บศิลปวัตถุและเครื่องดนตรี มักจะปิดใส่กุญแจไว้ เปิดเป็นเวลาเช่น ลูกๆ ลงไปเล่นปิงปองกัน หรือครูมาสอนหนังสือ ในเวลามีงาน มีแขกเป็นต้น)
จึงต่างก็โจษกันแซ่ว่าเสียงใครเคาะอะไรในห้องนั้น จะมีใครเข้าไปเคาะได้อย่างไร ในเมื่อห้องก็ปิดใส่กุญแจไว้ พ่อออกความเห็นว่าอาจจะเป็นหนูขึ้นไปไต่บนฆ้องวง เหยียบไม้ตีฆ้องซึ่งวางพาดอยู่กระดกไปถูกลูกฆ้องเข้า จึงให้เด็กลองลงไปเปิดห้องเคาะพิสูจน์ดูก็ไม่ใช่ ทั้งไม่มีเครื่องดนตรีใดๆ เกิดเสียงเหมือนเช่นนั้นเลย ครั้นลองเคาะเครื่องโลหะอื่นๆ ดูต่อไปอีก ก็ปรากฏว่าดังเหมือนเสียงที่เคาะพระพุทธรูปทรงเครื่อง ต่างพูดเถียงกันว่าทำไมดังขึ้นเองได้
พ่อก็เอ่ยขึ้นว่า ‘ครูแรงรึ ถ้าครูแรงจะได้ไหว้ครู’ พอพูดขาดคำก็มีเสียงเคาะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ดังรัวกังวานได้ยินชัดทุกคน
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จึงคิดไปเสียในทางดีว่าครูมาเตือนสติมิให้เป็นคนประมาทขาดความเคารพครูบาอาจารย์ พ่อก็เลยไหว้ครูตั้งแต่นั้นมาทุกปีจนบัดนี้”
หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร ทรงเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์เองว่า
“เรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง เกิดขึ้นที่วังท่าพระในระหว่างที่มีงานศพคุณย่า… คืนวันหนึ่งเมื่อพระสวดเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กันบนตำหนักในห้องโถงที่เคยเป็นห้องเสวยของเสด็จปู่ นั่งคุยกันอยู่หลายต่อหลายเรื่องและในที่สุดก็วกมาเรื่องผี ที่ใครเคยได้ยินได้พบมาอย่างไรก็เล่าสู่กันฟัง
ป้าเล่าขึ้นมาว่า ‘ที่นี่มีผีที่ชอบกระเซ้าเด็กด้วยปิดไฟ พี่ๆ เคยโดน เห็นไฟเปิดทิ้งอยู่ก็เดินไปปิดสวิทช์ ยังไม่ทันถึงไฟก็ดับพึ่บลงเสียก่อน มีทำนองนี้บ่อยๆ’
วันหนึ่งคุยกันอยู่ถึงเรื่องนี้ที่ตรงหน้ามุข มีคนพูดว่าไม่เชื่อว่าดับเองได้ เข้าใจว่าคงจะเป็นเพราะสวิทช์หลวมหรือมีใครแอบมาปิดเพื่อล้อเล่น หรือจิ้งจกไต่ไปโดนเข้า คนขี้กลัวก็เลยซัดว่าผีหลอก
เขาอยากจะมีโอกาสได้พิสูจน์นัก พอพูดจบไฟที่หน้ามุขช่อนั้นก็ดับให้ดูทันที เดี๋ยวปิดดวงนั้นเปิดดวงนี้กลับไปกลับมาเหมือนมีคนมาปิดเปิดสวิทช์ไฟเล่นทั้งๆ ที่มองเห็นสวิทซ์ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่งกันอยู่สัก 3 เมตรเท่านั้น คนอยากพิสูจน์นั่งตัวแข็งจ้องสวิทช์ไฟตาไม่กระพริบทีเดียว แม้จนเมื่อไฟกลับเปิดเป็นปกติแล้ว ก็ไม่กล้าลุกไปตรวจสอบดูสวิทช์ไฟตามำพังดังที่โอ้อวดไว้”
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ เคยมีใครมาถามท่านบ้างไหมว่า “เคยเห็นผีไหม” แล้วท่านมีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างไร
อนึ่ง วังท่าพระ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานแก่ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต (เจ้าฟ้าเหม็น) ภายหลังเปลี่ยนเจ้านายผู้ครองวัง ดังนี้
ในรัชกาลที่ 2 เป็นที่ประทับของ พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 3 จึงพระราชทานแด่ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าชุมสายในเวลาต่อมา ถึงรัชกาลที่ 5 พระราชทานให้กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ (พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 3) และพระราชทานให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในเวลาต่อมา
อ่านเพิ่มเติม :
- กลางคืนกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5 น่ากลัว วังเวง และมีคนทำผีหลอก
- เจ้านายพระองค์ใดไม่กลัวผี? กล้าไปหยิบของในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานอันวังเวง ถวาย ร.5
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
หม่อมเจ้าหญิง ดวงจิตร จิตรพงศ์. ป้าป้อนหลาน, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กันยายน 2541
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 มิถุนายน 2563