จุดเปลี่ยนไทยย้ายวันขึ้นปีใหม่ จากยุคโบราณสู่ 1 เม.ย. ปรับไปมาจนเป็น 1 มกราคม

การจุดพลุในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่ออสเตรเลีย เมื่อ 31 ธ.ค. 2019 (ตามเวลาท้องถิ่น) ภาพจาก PETER PARKS / AFP

เมื่อมีผู้ถามถึงวันขึ้นปีใหม่ของไทย ผู้เขียนก็อดถามไม่ได้ว่า วันขึ้นปีใหม่ของไทยสมัยไหนเพราะไทยเราเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาหลายครั้งหลายหน

แรกเริ่มเดิมทีก็คงจะถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะคนโบราณนับข้างแรมเป็นต้นเดือน และเดือนอ้ายก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นเดือนแรก ถัดไปก็เดือนยี่เดือนสาม เดือนสี่ ฯลฯ เป็นแบบไทยแท้

เข้าใจกันว่าที่กําหนดเอาเดือนอ้ายเป็นต้นปีก็เพราะในระยะเวลาระหว่างนั้นอยู่ในฤดูหนาว คือพ้นจากฤดูฝนซึ่งอากาศมืดมัวมาเป็นสว่างเหมือนอย่างเป็นเวลาเช้าจึงได้นับเอาเดือนอ้ายเป็นต้นปี

การถือเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่จะเลิกไปเมื่อใดไม่ทราบได้ แต่คงจะนานมากถ้าถือตามกฎมณเฑียรบาลที่ตั้งขึ้นเมื่อจุลศักราช 720 (พ.ศ. 1901) ก็ไม่ได้กําหนดเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่แล้ว เพราะกําหนดไว้ว่า เดือน 4 การสัมพัจฉรฉินท์คือพิธีสิ้นปี หมายถึงตรุษ และเดือน 5 การพระราชพิธีเผด็จศก ลดแจตร ออกสนาม ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง

ลดแจตรจะหมายถึงอะไรไม่ทราบ แต่แขกเรียกเดือน 5 ว่าเดือนจิตร เสียงใกล้กันชอบกล ตามตำนานว่าตั้งจุลศักราช 1 ในปีกุนเอกศก ยามรุ่งแล้ววันจันทร์ เดือน 5 ขึ้น 2 ค่ำ ด้วยเหตุนั้นปีใหม่จึงเริ่มในเดือน 5 มีโหรคำนวณวันสงกรานต์ประจำราชสำนัก

การเปลี่ยนปีใหม่เอาเดือนห้ามาเป็นต้นปีนี้ไทยจะได้รับแบบอย่างมาจากไหนไม่พบหลักฐาน บางท่านว่าได้รับคติมาจากพราหมณ์ซึ่งใช้วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ไทยเราออกจะมีเรื่องยุ่ง คือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 เป็นการเปลี่ยนปีนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล ฯลฯ) แล้วต่อมาอีกราว 15 วัน พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษแล้วจึงเปลี่ยนศักราชอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในสมัยโบราณใช้จุลศักราช (เป็นเรื่องของโหรที่จะคำนวณให้แน่ชัดว่าวันไหนจึงจะเปลี่ยนศักราช)

และในสมัยโบราณวันสงกรานต์ก็ไม่ตรงกับในสมัยนี้ ถ้าแบบปัจจุบันกำหนดไว้ 3 วัน คือวันที่ 13 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เป็นวันกลาง เรียกว่าวันเนา และวันที่ 15 เป็นวันเถลิงศกซึ่งก็อาจเลยไปวันที่ 16 ก็ได้

เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระราชพงศาวดารกล่าวว่า จุลศักราช 1129 ปีกุนนพศก ถึง ณ วันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนห้าวันเนา สงกรานต์วันกลาง พม่าจุดเพลิงเผาฟืนสุมรากกําแพงแล้วยิงปืนใหญ่เข้ามาในกรุงพร้อมกัน ตั้งแต่เพลาบ่ายสามโมงเศษจนพลบค่ำ พอกําแพงทรุดก็พากันเอาบันไดพาดเข้ากรุง

วันที่พม่าเข้าเมืองนั้นเป็นวันเนา นักประวัติศาสตร์ว่าตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ถ้าวันอังคารเป็นวันเนา วันมหาสงกรานต์ก็ต้องเป็นวันจันทร์ที่ 6 เมษายน ดังนี้ จะเห็นว่าวันสงกรานต์คงไม่ตรงกับทุกปี ได้เคยตรวจวันสงกรานต์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ดูเล่น ก็เห็นเป็นวันที่ 11 เมษายนบ้าง วันที่ 12 เมษายนบ้าง มีอยู่ปีหนึ่งพลัดเข้าไปอยู่ในเดือน 6 คือ เมื่อ พ.ศ. 2404 วันสงกรานต์ตรงกับวันที่ 11 เมษายน (วันพฤหัสบดี เดือน 6 ขึ้น 2 ค่ำ)

ฉะนั้นในสมัยโบราณเมื่อใครต้องการจะรู้ว่าวันสงกรานต์เป็นวันใดก็ต้องคอยฟังประกาศของทางราชการ หรือต้องการรู้ว่านางสงกรานต์ชื่ออะไร ถืออะไร ก็ต้องเข้าไปดู ประกาศหรือภาพเขียนในพระบรมมหาราชวังจึงจะรู้

เรื่องสงกรานต์ของไทยนอกจากมีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลดังกล่าวแล้ว ก็มีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยตรัสเมื่อได้ทราบข่าวพระเจ้าแปรยกทัพมาประชิดชายแดนไทยว่า “จะไปเล่นตรุษ เมืองละแวก สิสงกรานต์ชิงมาก่อนเล่า จําจะยกออกไปเล่นสงกรานต์กับมอญให้สนุกก่อน” แสดงว่าการเล่นสงกรานต์คงมีแน่ และที่ว่าเล่นสงกรานต์กับมอญก็ชอบกล

ตํานานสงกรานต์ที่เรารู้อยู่ทุกวันนี้ก็คือ ฉบับที่จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ก็ขึ้นต้นไว้ว่าเป็นพระบาลีฝ่ายรามัญคือแปลมาจากฉบับรามัญ ของไทยแท้ ๆ เห็นจะต้องไปเอาจากต่างประเทศ เพราะมีเรื่องไม่ตรงกับฉบับรามัญอยู่หลายอย่าง

อย่างไรก็ตาม พอจะอนุมานได้ว่า วันขึ้นปีใหม่ตามแบบชาวบ้านของไทยถือเอาวันสงกรานต์เป็นหลัก แต่ตามแบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 คง จะถือเอาวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปีนักษัตรเป็นหลัก

และในรัชกาลที่ 5 นี้เองได้เกิดประเพณีการเลี้ยงปีใหม่ขึ้นเป็นคราวแรก เมื่อ พ.ศ. 2417 ดังปรากฏในพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า

“ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อใช้ธรรมเนียมฝรั่งชุกชุมขึ้น มีการเลี้ยงโต๊ะในวังเนือง ๆ จนถึงปีจอ จ.ศ. 1236 เมื่อย้ายมาอยู่พระที่นั่ง (จักรีมหาปราสาท) จึงได้เกิดการเลี้ยงปีใหม่ขึ้นเป็นคราวแรก แต่เลี้ยงเฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์ประมาณหกสิบพระองค์ตลอดมา เว้นไว้แต่ปีใด ซึ่งมีเหตุการณ์ขัดข้องก็เลื่อนไปเป็นสงกรานต์บ้าง ยกเสียที่เดียวบ้าง บางปีก็มีแต่งพระองค์ต่าง ๆ ตามซึ่งเรียกอย่างฝรั่งว่าแฟนซีเดรสส์ บางปีก็แต่งพระองค์ตามธรรมเนียม และมีการเล่นต่าง ๆ ต่อเวลา เลี้ยงโต๊ะแล้ว เป็นอย่างเล่นโยนน้ำบ้าง เล่นกลบ้าง เล่นเธียเตอร์บ้าง มีแฟร์ขายของครั้งหนึ่ง เมื่อปีกุน นพศก 1249 มีละครที่หน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในเวลาค่ำด้วยทุกคราวและในเวลาที่เลี้ยงปีใหม่นี้มีฉลากของพระราชทานของพระบรมวงศานุวงศ์ที่มานั่งโต๊ะด้วยทุก ๆ พระองค์ และมีขนมพระราชทานเจ้านาย ข้าราชการในหมู่กรมต่าง ๆ หลายแห่ง การบางปีก็สนุกครึกครื้นมาก บางปีก็ไม่สู้สนุกครึกครื้น บางปีก็ประชุมอยู่จนเวลารุ่งเช้า บางปีก็เลิกไปในเวลาอีก”

ในการเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ในวันปีใหม่นั้น มีธรรมเนียมเกิดขึ้นอย่างหนึ่งคือจะ มีชักเปี๊ยะห่อของพระราชทานแจกด้วย และในห่อชักเปี๊ยะนั้นมีโคลงแต่งเป็นข้อความขําขัน ใส่ไว้ด้วย ตัวอย่างเช่นแต่งว่า

งามยศงามศักดิ์พร้อม งามสม
เป็นที่นิยมชม ทั่วหน้า
ถ้อยคําก็คายคม เปรื่องปราชญ์
กินก็เก่งกาจกล้า ไม่รู้กี่ชาม

ฯลฯ ดังได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น จะเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่ไม่ได้กําหนดแน่นอนจนกว่าโหรจะได้คํานวณวันแล้วประกาศให้ทราบชาวบ้าน ชาวเมืองก็ยากที่จะรู้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็คงจะทรงพิจารณาเห็นความลําบากในการใช้วันเดือนปีแบบจันทรคตินี้อยู่เหมือนกันจึงได้ทรงพระราชดําริหาทางแก้ไข และในที่สุดได้มีพระบรมราชโองการประกาศให้ใช้กันอย่างใหม่ มีคําปรารภในตอนต้นว่า

“ด้วยทรงพระราชดําริถึงวิธีนับวันเดือนปีที่ใช้กันอยู่ในสยามรัฐมณฑล และที่ใช้ในประเทศใหญ่น้อยเป็นอันมากในโลกนั้น เป็นวิธีต่างกันอยู่มาก คือกล่าวโดยย่อก็เป็นวิธีใช้ตามจันทรคติอย่างหนึ่ง และสุริยคติอย่างหนึ่ง จึงทรงพระราชดําริ ว่า…” ต่อจากนี้เป็นเรื่องทางดาราศาสตร์ยืดยาว และลงท้ายให้ตราเป็นพระราชบัญญัติซึ่งจะคัดมาเฉพาะความที่สําคัญดังนี้

“ข้อ 1 ให้ตั้งวิธีนับ ปี เดือน ตามสุริยคติกาลดังว่าต่อไปนี้ เป็นปีปรกติ 365 วัน ปีอธิกสุรทิน 366 วัน ให้ใช้ศักราชตามปีตั้งแต่ตั้งกรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์มหินทรายุทธยาบรมราชธานี นั้น เรียกว่า รัตนโกสินทรศก ใช้เลขปีในรัชกาลทับหลังศกด้วย…

“ข้อ 2 ปีหนึ่ง 12 เดือน มีชื่อตามราษีที่เดือนนั้นเกี่ยวข้องอยู่ มีลําดับดังนี้ เดือนที่ 1 ชื่อเมษายนมี 30 วัน…วันในเดือนหนึ่งนั้นให้เรียกว่าวันที่ 1 วันที่ 2…

“ข้อ 3 ให้นับใช้วิธีนี้ในราชการ และการสารบาญชีทั้งปวง ตั้งแต่วันที่ 2 เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีฉลูยังเป็นสัมฤทธิศก จุลศักราช 1250 นั้น เป็นวันที่ 1 เมษายน รัตนโกสินทรศก 108 ต่อไป แต่วิธีวันเดือนปีตามจันทรคติซึ่งเคยใช้มาในการกําหนดพระราชพิธีประจําเดือนต่าง ๆ ก็ดี แลใช้สังเกตเป็นวันกําหนดหยุดทําการก็ดี ให้คงใช้ตามเดิมนั้น ฯลฯ”

สรุปว่าในพระบรมราชโองการที่ประกาศนั้น ให้เลิกใช้จุลศักราชในทางราชการเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก โดยเริ่มในปีรัตนโกสินทรศก 108 (พ.ศ. 2432) เป็นต้นมา และเรียกชื่อเตือนว่าเมษายน พฤษภาคม ฯลฯ ตามทางสุริยคติเป็นครั้งแรก รวมทั้งเรียกวันเป็นวันที่ 1 วันที่ 2 ฯลฯ ด้วย แต่ก็ยังคงให้ใช้วันเดือนปีตามจันทรคติคือวันขึ้นแรม เดือนอ้าย เดือนยี่ และปีชวด ฉลู หรือจุลศักราชต่อไปได้ เพราะเป็นหลักทางโหราศาสตร์ซึ่งราษฎรเคยใช้มาแล้ว

เมื่อลำดับเรื่องดูแล้วคงได้ความว่า สมัยโบราณคงถือเอาวันแรมค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ แล้วเปลี่ยนมาเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 รวมทั้งมีวันสงกรานต์ด้วย ต่อมาในพ.ศ. 2432 วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันที่ 1 เมษายนพอดี รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การใช้รัตนโกสินทรศก ได้ใช้มาถึงปี ร.ศ. 131 (พ.ศ. 2455) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพิจารณาเห็นว่าปีรัตนโกสินทรศกนับย้อนไปในอดีตได้เพียงร้อยปีเศษเท่านั้นไม่พอใช้จึงโปรดเกล้าให้เลิกใช้รัตนโกสินทรศก ให้ใช้พุทธศักราชแทน ส่วนวันเดือนปีคงใช้ไปตามเดิม

อย่างไรก็ตาม การกำหนดเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ก็ดูเหมือนจะถือกันเคร่งครัดเฉพาะในวงราชการงานเมืองเท่านั้น ส่วนประชาชนพลเมืองทั่ว ๆ ไปยังคงถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทำบุญตักบาตรสนุกสนานรื่นเริงกันมาก ไม่ได้ถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะไม่ปรากฏว่าได้มีการทำบุญสุนทานกันแต่อย่างไรจึงออกจะเลือน ๆ ไป

ครั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. 2475 แล้ว ทางราชการได้พิจารณาเห็นว่าควรเปลี่นยวันขึ้นปีใหม่ที่ซบเซาไปนานแล้วนั้นให้ฟื้นขึ้นมาอีก จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก ในการจัดงานครั้งนั้น คณะกรรมการได้แสดงความประสงค์ที่สำคัญไว้ตอนหนึ่งว่า

“ความประสงค์อันแท้จริงของคณะกรรมการจะได้ตกลงหรือยึดถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันรื่นเริงปีใหม่เสมอไปทุกปีก็หาไม่ เพราะการที่ฟื้นฟูวันปีใหม่นี้ มิได้ตั้งใจจะให้มีแต่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ความประสงค์ใคร่จะให้ฟื้นฟูกันทุกจังหวัด ซึ่งจะต้องอนุโลมตามกาลเทศะแห่งท้องถิ่น แต่ความประสงค์ในขั้นที่สุดมีว่า เมื่อได้มีการฟื้นฟูกันแพร่หลายกันไปทุกหนทุกแห่งแล้ว และถ้าส่วนมากได้นิยมยึดถือเอาวันใดเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาติไทยเราแล้ว เมื่อนั้นแหละจึงควรตกลงกันเด็ดขาดว่า ให้ถือเอาวันนั้นเป็นวัจนขึ้นปีใหม่ และมีการรื่นเริงในวันนั้น เพราะย่อมเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้ยึดถือวันขึ้นปีใหม่แตกต่างกันสำหรับประชาชนชาติเดียวกัน”

ดังนั้น แสดงว่าได้เริ่มมีความคิดเห็นในเรื่องวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่มีอยู่หลายวันขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2477 ได้แพร่หลายออกมาในต่างจังหวัดในปีต่อมา และปี พ.ศ. 2479 ก็ได้จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด

อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยนั้นทางราชการไม่ได้เรียกวันที่ 1 เมษายนว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่เรียกว่าเป็น “วันตรุษสงกรานต์” เช่นเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2480 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่าวันที่ 31 มีนาคม และวันที่ 1-2 เมษายน รวม 3 วัน เป็นวันตรุษสงกรานต์ แล้วมีวงเล็บไว้ข้างท้ายเป็นภาษาอังกฤษว่า (New Year) แสดงว่าในสมัยนั้นเรียกวันขึ้นปีใหม่ 1 เมษายน ว่าเป็น “วันตรุษสงกรานต์” พึ่งจะมากำหนดให้ถือวันที่ 13 เมษายนเป็นวันสงกรานต์และวันหยุดราชการเมื่อ พ.ศ. 2491 นี่เอง

ไม่ทราบว่ารัฐบาลในสมัยนั้นมีเจตนาอย่างไร ดูประหนึ่งว่าจะไม่ให้มีวันสงกรานต์จริง ๆ (ซึ่งอยู่ในระหว่างวันที่ 12-13 เมษายน) โดยรวบรวมไว้ในวันที่ 1 เมษายนเสียเลยทีเดียว และกำหนดให้เป็นวันสงกรานต์เสียอีกด้วย แต่เกรงว่าชาวต่างประเทศจะไม่ทราบก็ต้องวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ให้รู้ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่

การฟื้นฟูให้จัดงานรื่นเริงในวันขึ้นปีใหม่ 1 เมษายน ได้ทำอยู่เพียงไม่กี่ปี คณะรัฐมนตรีก็ได้พิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ได้ตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ได้เริ่มประชุมเป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 คณะกรรมการได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม โดยให้ถือวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ใน พ.ศ. 2483 เป็นปีสุดท้าย ฉะนั้นในปีพ.ศ. 2483 ก็จะมีเพียง 9 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2483 เท่านั้น เมื่อถึงวันที่ 1 มกราคม ก็เริ่มต้นพุทธศักราช 2484 เลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ครั้งนี้ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2483 มีใจความว่า

“โดยจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณมา ได้ถือแรม 1 ค่ำ เดือนอ้ายเป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งใช้ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ครั้นต่อมา ภายหลังเมื่อทางราชการนิยมใช้สุริยคติ จึงถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นต้นปี แต่ประเทศทั้งหลายนิยมใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นต้นปี ซึ่งเป็นการคํานวณโดยดาราศาสตร์และนิยมใช้กันมาเป็นเวลากว่าสองพันปี จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นต้นปีอย่างประเทศทั้งหลาย

การใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ นอกจากจะได้ระดับกับนานาอารยประเทศแล้ว ยังจะเป็นการสอดคล้องตามแบบจารีตประเพณีโบราณของไทย และเป็นการใช้ฤดูหนาวเริ่มต้นปีอีกด้วย

อนึ่ง ได้มีพระบรมราชโองการให้ ตราพระราชบัญญัติปีประดิทิน พุทธศักราช 2483 ให้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 17 ธันวาคม 2483 แล้วจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะสงฆ์ และอาณาประชาราษฎร์ทั้งมวล นิยมถือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ และให้ถือเป็นจารีตประเพณีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็นต้นไป”

สรุปแล้ว ทางราชการมีเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม ดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงไม่ขัดกับพระพุทธศาสนา
2. การเปลี่ยนแปลงใหม่เป็นการเลิกวิธีที่เอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. เป็นการถูกต้องตามหลักวิชาที่ใช้มาแต่โบราณกาล ซึ่งถือเอาดินฟ้าอากาศเป็นสําคัญ
4. เป็นการทําให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก
5. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย
6. เป็นการแสดงให้โลกเห็นว่าวิธีโบราณของเราก็ต้องตรงตามวิธีสากล ซึ่งแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งโรจน์แห่งวัฒนธรรมของชาติไทยในอดีตกาล

การเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ของไทยครั้งนี้ รู้สึกว่าออกจะเนือย ๆ อยู่บ้าง เพราะในวันที่ 1 มกราคม 2484 อันเป็นวันประเดิมเริ่มแรกนั้นเอง ฝรั่งเศสซึ่งปกครองอินโดจีนอยู่ นั้นก็ยิงปืนกลและปืนเล็กจากห้วยทรายข้ามฟากมาที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่ใช่เป็นการฉลองวันปีใหม่ให้ไทย แต่เป็นการเริ่มสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ข่าวการต่อสู้ตาม ชายแดนจึงกลบเรื่องวันขึ้นปีใหม่เสียหมด

อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การทําบุญวันขึ้นปีใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในสมัยก่อนการทําบุญวันตรุษ วันสงกรานต์ ทุกคนไปทําบุญที่วัด แต่เมื่อมีการทําบุญวันขึ้นปีใหม่ตามแบบใหม่ กลับชักชวนให้ประชาชนทําบุญนอกวัด

มีการจัดทําบุญหน้าศาลากลาง จังหวัดบ้าง ที่สนามหลวง สนามอะไรต่าง ๆ ห่างวัดออกไปทั้ง ๆ ที่อยากให้คนเข้าวัด

นโยบายจึงสวนทางกัน เพราะมุ่งแต่ดังประการเดียว

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 ธันวาคม 2562