ความเป็นมาของตรุษจีน เทศกาลอายุกว่า 2,000 ปี เคยถูกปีใหม่สากลยึดเวที

ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ตรุษจีน ความเป็นมาของตรุษจีน
บรรยากาศการเซ่นไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนที่วัดเล่งเน่ยยี่ (ภาพจาก ห้องสมุดภาพมติชน)

ความเป็นมาของตรุษจีน เทศกาลอายุกว่า 2,000 ปี เคยถูกปีใหม่สากลยึดเวที

“ตรุษจีน” เทศกาลสำคัญที่คนจีนนับแสนนับล้านเดินทางกลับบ้าน หรือภาพคนจับจ่ายซื้อของเซ่นไหว้มากมายสำหรับวันการเซ่นไหว้ในเทศกาล ฯลฯ จนอดคิดไม่ได้ว่า มันช่างเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่มาก

แต่ในความจริงมันเป็นเทศกาลหน้าใหม่ และมีชะตาที่ผกผันไม่น้อย ก่อนหน้านั้นจีนมีวันปีใหม่มาก่อนหน้าถึง 2 วันด้วยกัน

1. ตงจื้อ (สารทขนมบัวลอย) เป็นวันสารทปีใหม่ตามปรากฏการณ์สำคัญของธรรมชาติที่กลางวันจะเริ่มยาวขึ้น หรือปีใหม่ทางดาราศาสตร์แบบจีนโบราณ ช่วงนี้เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วมีอาหารสมบูรณ์ที่สุด  เป็นวันปีใหม่ของจีนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (503 ปีก่อนพุทธศักราช-พ.ศ. 322) นับเป็นเทศกาลปีใหม่เก่าแก่ที่สุดของจีน

2. ลี่ชุน (เริ่มวสันต์) เป็นวันปีใหม่ตามฤดูกาล และการเกษตร ตรงกับวันที่ 4 หรือ 5 กุมภาพันธ์ (ยกเว้นปีอธิกมาศ) เพราะหิมะเริ่มละลายเตรียมตัวทำนา การทำมาหากิน เดิมลี่ชุนเป็นเทศกาลปีใหม่ที่คึกคักกว่าวัน 1 ค่ำ เดือนอ้าย เพราะมีความสำคัญกับวิถีชีวิต ตั้งแต่ทางการใช้ปฏิทินไท่ชู (ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 439 ) เป็นต้นมา

ตรุษจีน เชิดสิงโต
บรรยากาศงาน “ตรุษจีน” ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เผยแพร่เมื่อปี 2003

ส่วนวันสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติของจีนโบราณ หรือ “วันตรุษจีน” นั้นไม่คึกคัก เพราะสัมพันธ์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตน้อยกว่าวันปีใหม่วันอื่น อีกทั้งเปลี่ยนไปตามปฏิทินของทางราชการด้วย ในสมัยโบราณมันนี้จึงมีความสำคัญน้อย และเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นวันปีใหม่ของจีนในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (พ.ศ. 340-551) หรือประมาณ 2,000 กว่าปีนี้เอง

ตัวเทศกาลนี้หลักๆ คือวันสิ้นปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่ ปัจจุบันจีนยังแยกออกเป็น 2 เทศกาล วันสิ้นปีเรียกว่า “ฉูซี่ (除夕) ตัดปี คืนสุดท้าย” วันขึ้นปีใหม่เรียกว่า “ชุนเจี้ย (春节 ) เทศกาลวสันต์” หรือ “หยวนตัน (元旦) ปฐมวาร”

สมัยราชวงศ์ฮั่น เทศกาลนี้เกี่ยวเนื่องด้วยการบวงสรวงเพื่อการเกษตรเป็นสําคัญ ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้ (พ.ศ. 963-1132) จึงมีกิจกรรมอันเนื่องด้วยผีสางและไสยศาสตร์เพิ่มเข้ามา เช่น จุดประทัด เปลี่ยน ยันต์ไม้ท้อ ดื่มสุราถูซู เฝ้าปี ช่วงเวลาของเทศกาลก็ขยายยาวออกไปจนเชื่อม ตั้งแต่เทศกาลล่าปาไปจนถึงเทศกาลหยวนเซียว และสําคัญที่สุดของจีนตั้งแต่นั้นมา

สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) กิจกรรมในเทศกาลนี้ที่วิวัฒน์จากการบวงสรวงทางการเกษตรและความเชื่อทางไสยศาสตร์มาเป็นกิจกรรมบันเทิง และวัฒนธรรมตามประเพณีเป็นสําคัญ การจุดประทัดมุ่งความสนุกสนานเฉลิมฉลองมากกว่าไล่ผี ตั้งแต่ราชวงศ์ถังเป็นต้นมา ตรุษจีนเป็นเทศกาลมงคลเฉลิมฉลองใหญ่ร่วมกันของคนทั่วประเทศ

ถึงราชวงศ์หมิงและชิง เทศกาลนี้มีพัฒนาการไป 2 ด้าน คือ 1. มีกิจกรรมทางสังคมชัดขึ้น เช่น การคารวะอวยพรปีใหม่ ส่งบัตรอวยพรปีใหม่ 2. มีกิจกรรมด้านศิลปะและความบันเทิงมากขึ้น เช่น เชิดสิงโต เชิดมังกร มหรสพและการละเล่นรื่นเริงอีกมากมาย เป็นเทศกาลใหญ่คึกคักสนุกสนานที่สุดตลอดมาจนสิ้นราชวงศ์

เมื่อจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐในปี พ.ศ. 2454 มรดกวัฒนธรรมจีนจำนวนมากถูกลดความสําคัญ จนถึงขั้นยกเลิกไปเลยก็มี รัฐบาลประกาศใช้ปฏิทินเกเกอเรียนของฝรั่งแทนปฏิทินเกษตรของจีน กําหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็น วันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นปีแรก

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศวันหยุดราชการใหม่ในปี 2492 (ภาพจาก www.xinhuanet.com)

ถึงช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม พ.ศ. 2510-19 รัฐบาลประกาศว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิวัติและข้อเสนอมวลชน จึงยกเลิกวันหยุดตรุษจีน” สิ้นยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้วจึงกลับเป็นวันหยุดตามเดิม

อย่างไรก็ตามในยุคจีนใหม่ทั้งรัฐบาลก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ไม่ให้ความสําคัญ ไม่ให้เวลาแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลอันเป็นมรดกจากอดีตของจีน นับจาก พ.ศ. 2455 เป็นต้นมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี

จนกระทั่งวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550 รัฐบาลจีนจึงประชุมมีมติเรื่อง “วันหยุดเทศกาลและวันหยุดราชการ” ว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ให้เทศกาล ตรุษจีนเป็นวันหยุดยาว 7 วัน เทศกาลเช็งเม้ง, ขนมจ้าง(บ๊ะจ่าง) และ ไหว้พระจันทร์ หยุดเทศกาลละ 1 วัน

ในต่างประเทศ ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่แพร่หลายมาก ในประเทศไทยแม้คนไทยที่ไม่มีเชื้อสายจีนบางคนก็พลอยทําตามไปด้วย ของไหว้ในเทศกาลก็แปรเปลี่ยนไป จากที่ไหว้ขนมเข่งก็นิยมใช้ขนมเทียนไหว้ด้วย ซึ่งเข้าใจว่าคนไทยจะคิดขึ้นเอง เพราะมีดังปรากฏชื่ออยู่ใน กาพย์ เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2

แม้ในราชสํานักก็มีการพระราชกุศลเลี้ยงพระในเทศกาลดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 นับเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีสิบสองเดือน

ต่อมารัชกาลที่ 4 จึงทรงยกเลิกขนมจีน โปรดให้ทำเกาเหลาเลี้ยงพระแทน และทรงปรับปรุงการพระราชพิธีไปบ้าง เช่น ทรงสร้างศาลาหลังคาเก๋งขึ้นหน้าพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย พร้อมกับการมีเทวรูปตั้งบูชามีเครื่องเซ่นสังเวยตลอดเวลา 3 วัน ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 กลับโปรดให้เลี้ยงขนมจีนตามแบบเก่า ปัจจุบันการพระราชกุศลนี้ยกเลิกไปแล้ว แต่ราชสกุลบางสกุลยังทำพิธีไหว้อยู่

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ถาวร สิกขโศล. เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, มีนาคม 2557


แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในระบบออนไลน์เมื่อ 25 มกราคม 2568