ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
พลุหรือดอกไม้ไฟ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองหรือเริ่มต้นใหม่ จึงมักเห็นการจุดพลุในหลากเทศกาลทั่วโลก อย่างเด่น ๆ คือ เทศกาลปีใหม่… แล้วสงสัยไหมว่า พลุหรือดอกไม้ไฟเหล่านี้ คนไทยเริ่มจุดตั้งแต่เมื่อไหร่?

พลุมีจุดกำเนิดจากประเทศจีน เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน คนจีนจะเผาไม้ไผ่ให้ลำต้นเป็นสีดำจนเกิดเสียงซ่าจากอากาศภายในลำต้นที่กลวงจนมันระเบิดออกมา เรียกว่า “เป้าจู๋” (爆竹) หมายถึงไม้ไผ่ระเบิด
ต่อมาคนจีนพัฒนาดอกไม้ไฟให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นในช่วง ค.ศ. 600-900 ด้วยการเติมดินปืนในกระบอกไม้ไผ่ โยนลงกองไฟ ใส่ผงเหล็กหรือเศษเหล็กให้ดอกไม้ไฟเปล่งประกาย และนำไปใช้เฉลิมฉลอง
จนศตวรรษที่ 13 ดอกไม้ไฟที่ผลิตคิดค้นขึ้นจากคนจีนก็แพร่ขยายไปยังยุโรปและอเมริกา
แล้วคนไทยล่ะ?
จากหนังสือ “ดอกไม้เพลิงโบราณ” กล่าวว่าคนไทยจุดดอกไม้เพลิงโบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในศิลาจารึก โดย “สิทธา สลักคำ” ผู้เขียนหนังสือกล่าวว่า…
“หลักศิลาจารึกบันทึกไว้ว่าเมืองสุโขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวง เพียย่อมคนเบียดกันเข้าดู ท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยมีดังจั๊กแตก เมื่อการกล่าวเช่นนี้พอจะขยายความได้ว่าการเล่นไฟ พูดถึงการเล่นคือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้เข้าชม แสงสีดอกไม้เพลิงเบียดเสียดเยียดยัดเข้ามาในพระราชฐาน ทั่วสารทิศก็เข้ามาชม นี่คือการเล่นไฟ”
นอกจากหลักฐานในศิลาจารึก สุโขทัยยังมีภูเขาสูงหนึ่งลูก ชื่อ “เขาหลวง” ห่างจากเมืองเก่า 6 กิโลเมตร และมีลานกว้าง ชื่อพญาพุ่งเรือ ซึ่งตรงกับชื่อของไฟโบราณของไทย จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าสมัยสุโขทัยเล่นไฟกันแล้ว
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ไม่ปรากฏคำว่าเล่นไฟแล้ว แต่มีคำว่าจุดดอกไม้ไฟมาแทนที่และมีสิ่งที่เรียกว่า “ดอกไม้เพลิงโบราณของไทย” ที่เกี่ยวข้องกับงานราชประเพณีต่าง ๆ ทั้งในวังและนอกวัง โดยมีชื่อตัวไฟโบราณของไทยต่าง ๆ มากมาย เช่น ไฟเป็ด ไฟปลา ไฟปลาช่อน ฯลฯ ซึ่งชื่อจะสอดคล้องกับเวลาที่พลุนั้นระเบิดออกมา อย่าง ไฟเป็ดเมื่อจุดแล้วโยนลงน้ำจะมีเสียงดังแจ๊บ ๆๆๆ เหมือนเป็ด
นอกจากจะเชื่อมโยงกับราชประเพณีและบุคคลทั่วไป และจุดเพื่อความสนุกสนานแล้ว การจุดพลุสมัยนี้ยังเกี่ยวโยงกับเรื่องพุทธศาสนา แสดงให้เห็นถึงการเกิดและดับอีกด้วย
ในอดีตการทำพลุหรือจุดพลุจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ รวมถึงอาชีพของใครหลายคน

ปัจจุบันการจุดดอกไม้ไฟไทยโบราณเสื่อมความนิยมลง เนื่องด้วยผู้คนให้ความสนใจน้อยลง และความอันตรายของมันที่อาจกระทบต่อตัวคนจุด รวมถึงคนรอบข้าง
การจุดพลุจึงหลงเหลือแค่เพียงการจุดพลุในโอกาสสำคัญเท่านั้น เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง รวมถึงงานศพ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าการจุดพลุจะเกิดไม่บ่อย แต่การจุดพลุก็มีข้อควรระวังมากมาย เพราะแม้ว่าพลุจะเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่และเต็มไปด้วยสวยงามอลังการ แต่ก็แฝงมาด้วยความอันตรายที่สามารถเกิดได้ทั้งกับคน ทรัพย์สิน รวมถึงเสียงที่กระทบสัตว์มากมาย เช่น สุนัข แมว ที่ทำให้ตกอกตกใจจนเตลิดหนีออกจากบ้านได้เช่นกัน
อ่านเพิ่มเติม :
- “ฉลองปีใหม่” ชาวกรีกเชื่อเรื่องโชค กินเค้กใส่ “เหรียญ”
- มูสายงูเล็ก งูใหญ่ ปีใหม่ไปไหว้เจ้าขอพรที่ไหนดี
- ข้าราชการสมัย ร.6 เคยหยุดวันปีใหม่ (แบบเก่า) ถึงวันสงกรานต์ ยาวนานติดต่อกัน 31 วัน!
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
https://www.bbc.com/thai/highlights/story/2004/12/041224_fireworks_history
https://www.timeforkids.com/g56/history-fireworks/
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 มกราคม 2568