วัฒนธรรมท่านผู้นำ (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ทำหญิงวัยกลางคน-หญิงแก่ ลำบาก!

ผู้หญิงแต่งกายถูกต้องตามวัฒนธรรมสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นุ่งผ้าถุง ใส่หมวกทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมสมัยท่านผู้นำ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งทำเอาหญิงวัยกลางคน-หญิงแก่ ลำบาก!

ที่บ้านของฉันที่สุโขทัย มีต้นลานที่ลูกสาวนำมาปลูกไว้เพื่อจะดูต้นลานใบลานที่โบราณเขาใช้จารจารึกหนังสือเก่าหรือพระธรรมอยู่ต้นหนึ่ง เมื่อมันเป็นต้นเล็กๆ อยู่ก็ไม่รู้สึกว่ามันเกะกะอะไร มันก็อยู่ของมันตรงมุมสระน้ำ บัดนี้มันเป็นต้นลานต้นใหญ่มีใบโตเท่าใบลานทั่วไป เวลาลมพัดจะมีเสียงแกรกกรากดังไปทั่ว เจ้าตัวคนปลูกก็ไม่เห็นได้ใช้ประโยชน์จากใบลานเหมือนอย่างตั้งใจ มิหนำซ้ำเวลาใบมันแห้งต้องตัดออก ก็ต้องใช้เลื่อยเลื่อยออก เพราะก้านหนึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเสาเรือน และยังต้องนำไปทิ้งที่เทศบาลจัดไว้ให้ทิ้งแสนไกลจากเมือง เห็นต้นลานแล้วทำให้นึกถึงความหลังหลายเรื่อง ซึ่งคนปัจจุบันจะไม่เคยรู้เคยเห็นถ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น

เมื่อยังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่จะชอบเล่าเรื่องผีให้เด็กฟัง เด็กจะจำได้ถึงสัญลักษณ์ของความเป็นผีอย่างหนึ่งคือมือโตเท่าใบลาน ซึ่งถ้าผีมีจริงก็คงต้องวิ่งหนีให้พ้น เพราะใบลานจะใหญ่โตมาก เวลาลมพัดจะดังแกรกกรากและโยกไกวเหมือนมือผีอันใหญ่โตแกว่งไกวไปมา ถ้าเดือนมืดๆ แล้วลมพัดใบลานแกว่งไกวจะทำให้เหมือนมีผีคอยจับเด็กๆ ที่เดินผ่าน ทำให้บรรยากาศน่ากลัวจนไม่อยากจะเดินผ่านต้นลานต้นนั้น นี่เป็นความน่ากลัวของเด็กๆ ที่เดินผ่านต้นลานนั้น

ต้นลานจะมีเรื่องราวเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมสมัยเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย

สมัยเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวัฒนธรรมหลายอย่างเพื่อให้ประเทศชาติมีวัฒนธรรมเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ ประชาชนทั่วไป (โดยเฉพาะผู้หญิง) ที่ไม่คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงจะเดือดร้อนในการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่เคยชินมาก่อน มีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องล้วนแต่ทำความลำบากใจให้แก่ผู้คนที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่จำต้องทำ มิฉะนั้นจะถูกตำรวจจับ เพราะไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรมของประเทศ ดังเช่น

หญิงไทยต้องเลิกล้มการนุ่งผ้าโจงกระเบน หันมานุ่งผ้าถุงธรรมดา

เรื่องนี้ผู้หญิงวัยกลางคนและคนแก่จะเดือดร้อนมาก เพราะทุกคนเคยนุ่งแต่ผ้าลายโจงกระเบน เปลี่ยนมาเป็นผ้านุ่งธรรมดาโดยไม่โจงกระเบนดูมันโว้งว้างเหมือนไม่มีอะไรติดตัว ทำให้ต้องนุ่งผ้าโจงไว้ข้างใน ข้างนอกจึงเป็นผ้านุ่งธรรมดาคลุมไว้ให้ถูกต้องตามวัฒนธรรม

ปฏิบัติตามรัฐนิยมได้รางวัลตำรวจไม่จับ
ปฏิบัติตามรัฐนิยมได้รางวัลตำรวจไม่จับ

ฉะนั้นผู้หญิงสมัยนั้นจะนุ่งผ้าโจงกระเบนติดตัวเหมือนเดิม พอจะออกนอกบ้านก็หาผ้านุ่งมานุ่งคลุมไว้ ก็ดูกระปุกกระปุ้ยไม่รัดกุมเท่าที่ควร บางครั้งผ้าถุงที่นุ่งคลุมไว้หลุดจากตัวก็ยังไม่ค่อยรู้ตัว เพราะโจงกระเบนข้างในยังอยู่ดีอยู่ สมัยนั้นผ้าถุงหลุดลุ่ยจะมีให้เห็นกันอยู่เสมอๆ แต่คนแก่ก็ไม่หวั่นไหว เพราะอุ่นใจว่าข้างในยังมีโจงกระเบนหุ้มไว้อยู่ ก็เป็นเรื่องสนุกสนานของผู้พบเห็นคนแก่นุ่งผ้าถุง

และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับต้นลานก็คือ ผู้หญิงทุกคนในสมัยนั้นต้องใส่หมวกเวลาออกนอกบ้าน คนส่วนใหญ่ก็จะใส่หมวกที่ทำด้วยผ้ามาเย็บเป็นรูปหมวก ชาวบ้านโดยทั่วไปจะสวมหมวกที่ทำด้วยใบลานเอามาถักและเย็บเป็นรูปหมวก คนส่วนมากก็จะตัดเอาใบลานเอาใบอ่อนที่แก่พอสมควรมาถักให้แน่นหนาแล้วเอาไปจ้างเขาเย็บเป็นรูปหมวกมีปีก ชาวบ้านก็ตัดใบลานที่สามารถตัดเป็นเส้นได้เอามาขายในตลาด ผู้คนก็ซื้อเอามานั่งถักใบลานให้เป็นเส้นใหญ่แล้วจึงเอาไปเย็บเป็นรูปหมวก ซึ่งถ้าทำอย่างนี้จะถูกสตางค์กว่าไปซื้อหมวกผ้า ผู้คนจึงเอาใบลานมานั่งถักให้เป็นเส้นยาวแล้วไปจ้างเขาเย็บเป็นรูปหมวก เด็กๆ เล็กๆ ในสมัยนั้นจึงนั่งถักใบลานกันเป็นเรื่องเป็นราวให้ได้เส้นยาว แล้วเอาไปจ้างเขาเย็บเป็นรูปหมวกมีปีกอันสวยงาม

ฉะนั้นเมื่อเดินผ่านต้นลานที่มีอยู่ในบ้านจะทำให้นึกถึงความมีวัฒนธรรมอันได้แก่ สวมหมวกและนุ่งผ้าถุงเวลาจะออกไปนอกบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องอึดอัดของคนไม่เคยชินหมวกก็ต้องใส่ผ้านุ่งก็จะหลุด เพราะไม่เคยชิน แถมยังไม่ได้เคี้ยวหมากอีกด้วย เพราะถ้าเคี้ยวหมากตามที่เคยกินจะไปบ้วนน้ำหมากที่ไหน ถ้าบ้วนไม่เลือกที่ทำให้บ้านเมืองสกปรก ตำรวจก็จะจับเอาได้

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้ ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยชินจะประดักประเดิดไม่สะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง ทำให้ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน แต่ก็จำต้องทำ เพราะเป็นวัฒนธรรมใหม่ของชาติไทยจะต้องปฏิบัติตามรัฐนิยม

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 ตุลาคม 2561