ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ประเด็นเรื่อง “เพศ” ในยุคโบราณ สามารถศึกษาได้จากตำนาน นิทานปรัมปรา จารึกโบราณ แต่ใครจะเชื่อว่า พระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) จากตำราโบราณของ “ชาวฮีบรู” จะสะท้อน “ด้านมืด” ของสังคมยิวในยุคบรรพกาลได้อย่างโจ่งแจ้งและเด่นชัด
ดร. นาธาน อับรัมส์ (Nathan Abrams) ผู้เขียนหนังสือ “Jews and Sex” ซึ่งมีเนื้อหาตอนหนึ่งเล่าถึงเรื่อง “เพศ” และวิถีชีวิตของชาวยิวจากพระคัมภีร์ พบว่าเรื่องดังกล่าวแทรกอยู่ในวัฒนธรรมฮีบรูอย่างแยกกันไม่ออก จนเต็มไปด้วยกรณีศึกษามากมาย โดยเฉพาะพฤติกรรมที่สังคมสมัยใหม่อาจมองว่าไร้ศีลธรรมอย่างสมบูรณ์ นั่นคือประเด็นการกดขี่และทารุณกรรมทางเพศ เต็มไปด้วยความใคร่ การร่วมประเวณีของคนในครอบครัว ตลอดจนการข่มขืน กระจายอยู่เต็มไปหมด
ดังเรื่องราวในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ที่วารยา นำมาเสนอในศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2551 เรื่อง “ความหฤหรรษ์แห่งเพศรส ในพระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม : กรณีศึกษาเรื่องทัศนคติต่อเรื่องเพศในพระคัมภีร์ที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรง” ต่อไปนี้
กษัตริย์โซโลมอนกับเหล่านางห้าม
กษัตริย์โซโลมอนคือผู้ปรีชาสามารถ ขณะเดียวกันพระองค์คือผู้มักมากในกามคุณระดับตัวพ่อ เพราะทรงมีคู่นอนเป็นสตรีต่างด้าวหลายคน ทั้งธิดาฟาโรห์ สตรีชาวโมอับ อัมโมน เอโดม ไซดอน ฮิตไทน์ ฯลฯ เล่ากันว่า “พระองค์มีพระมเหสีเจ็ดร้อยและนางห้ามสามร้อย และพระราชินีแห่งชีบา” อาจเพราะสาเหตุนี้ กษัตริย์โซโลมอนจึงหันไปสักการะพระเจ้าองค์อื่นร่วมด้วย พระเจ้าจึงส่งศัตรูมารุกรานอาณาจักรอิสราเอลเพื่อลงโทษพระองค์
ดาวิดกับนางบัทเชบา
ขณะที่นักรบของกษัตริย์ดาวิดทำศึกยืดเยื้อพวกอัมโมน พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเลมด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่พระองค์ต้อง “ตาตื่น” เมื่อประทับอยู่บนดานฟ้าพระราชวังแล้วแลเห็นสตรีหน้าตาสะสวยทรวดทรงงดงามกำลังอาบน้ำ จึงบัญชาให้บริวารพาหญิงผู้นั้นมาหาที่ห้องบรรทม นางคือ “บัทเชบา” ภรรยาของชาวฮิตไทน์ชื่ออุรีอาห์ ทหารของพระองค์ที่กำลังรบอยู่แนวหน้า
หลังเสพสมกับบัทเชบาจนนางตั้งครรภ์ กษัตริย์ดาวิดพยายามปกปิดบาปของตนเองด้วยการเรียกตัวอุรีอาห์กลับจากสมรภูมิ หวังให้อุรีอาห์มาหลับนอนกับภรรยา แต่อุรีอาห์เป็นคนจิตใจสูงส่ง เขาไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาขณะที่มิตรสหายเสี่ยงชีวิตอยู่ในสนามรบ กษัตริย์ดาวิดจึงส่งอุรีอาห์กลับแนวหน้าพร้อมคำสั่งลับให้สังหารเขาในสนามรบ จากนั้นสมรสกับบัทเชบาสมใจพระองค์ แต่กษัตริย์ดาวิดต้องอยู่กับความรู้สึกหวาดกลัวและสำนึกต่อบาปดังกล่าวตลอดพระชนมชีพ
แซมสันและนางเดลิลาห์
“แซมสัน” เป็นผู้ทรงพลัง เขาหลงรักสตรีนางหนึ่งนาม “เดลิลาห์” แต่ไม่ไว้ใจนางนัก เพราะเชื่อว่านางเป็นสายลับชาวฟิลิสเตีย เมื่อเดลิลาห์ถามรบเร้าถึงความลับของพลังอันยิ่งใหญ่ของเขา แซมสันโกหกนางไป 3 ครั้ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมบอกความลับว่าพละกำลังของเขาจะหายไปหากโกนผม และแล้วการเผยความลับนี้ก็นำหายนะมาสู่แซมสันจริง ๆ พระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายเพิ่มว่าเกิดอะไรขึ้นกับเดลิลาห์ผู้ทรยศ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นกรณีต้นแบบของการทรยศ “คู่นอน” หลังมีสัมพันธ์ทางเพศกัน
โสเภณีข้างถนน
“ยูดาห์” บุตรคนที่ 4 ของยาโคบ ทายาทที่ยาโคบและเลอาห์เลือก แต่เขาเลือกสมรสกับชาวคานาอัน บุตรของเขาจึงมิใช่ “ชาวฮีบรู” บริสุทธิ์ บุตรชายคนโตของยูดาห์เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย “ทามาร์” ภรรยาม่ายจึงได้สมรสกับโอนัน บุตรคนรองของยูดาห์ พอโอนันเสียชีวิต ตามธรรมเนียมทามาร์ต้องสมรสกับบุตรคนที่ 3 แต่ยูดาห์ต้องการให้สะใภ้ผู้นี้ออกไปจากครอบครัว
ทามาร์ไม่ยอมรับชะตากรรมดังกล่าว นางปลอมตัวเป็นโสเภณีและรุกเร้าเย้ายั่วยูดาห์ขณะที่เขากลับจากการตัดขนแกะ จน “เสร็จกิจ” ร่วมกัน 1 เดือนต่อมา ยูดาห์ทราบว่าลูกสะใภ้ที่เขาไม่ต้องการกำลังตั้งครรภ์ จึงเรียกนางไปกล่าวโทษ แต่ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเขาคือบิดาของเด็กในท้องและกำลังจะมีทายาทอีกคนในวัยชรา จึงพิพากษากรณีที่เกิดขึ้นว่า “หญิงคนนี้ชอบธรรมยิ่งกว่าเรา”
โอนัน
อีกตำนานเกี่ยวกับยูดาห์และทามาร์ มีตัวละครเอกคือ “โอนัน” บุตรคนรองของยูดาห์ พี่ชายของโอนัน (บุตรชายคนโตของยูดาห์) ทำบาปมหันต์จนถูกพระเจ้าสังหาร ยูดาห์จึงบอกแก่โอนันว่า “เข้าไปหาภรรยาพี่ชายของเจ้าเถิด และทำหน้าที่ของน้องผัว เพื่อจะได้สืบพันธุ์พี่ชายไว้”
ในทางกฎหมาย ประเพณีนี้ทำให้บุตรชายของเขาที่เกิดกับทามาร์จะกลายเป็นบุตรของพี่ชายผู้ล่วงลับ และเขาไม่เห็นด้วย โอนันจึง “ทำสิ่งที่จะก่อเกิดพืชพันธุ์นั้นตกดินเสีย” พระเจ้าจึงประหารชีวิตเขาอีกคนด้วยเหตุว่า สิ่งที่เขาทำนั้นน่ารังเกียจ เรื่องนี้ถูกนำไปเล่าเป็นนิทานเกี่ยวกับความเลวร้ายของ “อัตกามกิริยา” (สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง) ให้เด็ก ๆ ฟัง แม้ใจความสำคัญเดิมคือความพยายามขัดขวางการผิดประเวณีในครอบครัวของโอนัน
โลทกับบุตรสาวทั้งสอง
ครอบครัวของ “โลท” อยู่ที่เมืองโซดอม นครแห่งบาปมหันต์ กระทั่งพระเจ้าทรงบันดาลให้กำมะถันและเพลิงผลาญเมือง แต่ครอบครัวของเขาเป็นคนดี จึงได้รับแจ้งล่วงหน้าเรื่องหายนะดังกล่าวจากเทวทูตที่พระเจ้าส่งมา ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าห้ามหันกลับไปมองเมืองที่ล่มสลาย
แต่ภรรยาของโลทไม่ทำตาม นางหันกลับไปมองกาลวินาศแห่งโซดอมแล้วกลายร่างเป็นเสาเกลือทันที ส่วนโลทกับบุตรสาวหนีรอดไปพักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าบุตรสาวทั้งสองของโลทกังวลว่าตนจะไร้บุตรสืบทอดเผ่าพันธุ์ จึงวางแผนมอมเหล้าบิดาผู้เปี่ยมศีลธรรมแล้วสมสู่กัน ณ ถ้ำนั้น โลทจึงมีบุตรชายอันเกิดจากสองบุตรสาวของตนเอง คือ โมอับ กับเบน-อัมมี
การข่มขืนทามาร์
กษัตริย์ดาวิดเป็นยอดนักปกครอง แต่ล้มเหลวในเรื่องครอบครัว “อันโนน” โอรสของพระองค์ร่วมกับสหายนาม โยนาดับ ล่อลวง “ทามาร์” น้องสาวร่วมบิดาของตนมากระทำอนาจาร เมื่อนางไม่ยินยอมให้พี่ชายล่วงเกิน อันโนนจึงข่มขืนนางหลายครั้งจนเบื่อหน่าย เขาขับไล่นาง เป็นเหตุให้ทามาร์ได้รับความอับอายอย่างยิ่ง กระทั่ง 2 ปีต่อมา อับชาโลม พี่ชายของทามาร์เชิญอันโนนมางานเลี้ยง มอมเหล้า และสังหารเขา
การข่มขืนดีนาห์
ณ ช่วงเวลาที่ชาวยิวยังอยู่ที่คานาอัน “ดีนาห์” บุตรสาวของเลอาห์กับยาโคบเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนชาวฮีไวต์ดินแดนข้างเคียง แต่ระหว่างทางนางถูก “เชเคม” บุตรเจ้าเมืองลักพาตัวไปร่วมหลับนอน จนตัวเขาเกิดจิตปฏิพัทธ์อยากได้ดีนาห์เป็นภรรยาอย่างจริงจังและถูกต้อง เขากับฮาโมร์ผู้เป็นบิดาจึงเดินทางไปพบยาโคบเพื่อเจรจา แต่เหล่าบุตรชายของยาโคบยืนกรานว่าน้องสาวของตนต้องไม่สมรสกับชายเผ่าอื่นที่ไม่ผ่านการ “ขลิบ”
ปรากฏว่าเชเคมยอมรับกติกาดังกล่าว เขายังโน้มน้าวให้ชายในเผ่าของตนเข้ารับการสุหนัตด้วย แต่ไม่มีการสมรสเกิดขึ้น เพราะขณะที่เหล่าชาวฉกรรจ์ชาวฮีไวต์กำลังพักฟื้นอยู่นั้น สิเมโอนกับเลวีพี่ชายของดีนาห์บุกไปลอบสังหารชายในเมือง ปล้นเอาทรัพย์สมบัติ และนำภรรยาของผู้ตายมาเป็นเชลย โทษฐานที่คนในเมืองพรากความบริสุทธิ์น้องสาวของพวกเขา
คนเลวีและภรรยาน้อย
ชาวเลวีผู้หนึ่งอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาเอฟราอิมและได้สตรีนางหนึ่งจากเบธเลเฮมมาเป็นภรรยาน้อย แต่นางเล่นชู้แล้วทิ้งเขากลับไปหาบิดา จะด้วยจิตเมตตาหรือเพราะเหตุใดไม่ทราบ เขามาตามนางกลับ โดยระหว่างกลับได้แวะพักแรมที่กิเบอาห์ และค้างคืนในกระท่อมของชายชราคนเบนยามิน แต่กลางดึกคืนนั้นมีอันธพาลมาชุมนุมกันรอบกระท่อม และร้องบอกชายชราให้ส่งคนเลวีออกมา “ส่งชายที่อยู่ในบ้านของแกมาให้เราสังวาส!” พวกนั้นยื่นคำขาด
คนในบ้านกลับเสนอว่าจะส่งตัวภรรยาน้อยของชายผู้นั้นไปแทน กลายเป็นว่าสตรีเคราะห์ร้ายชาวเบธเลเฮมถูกโยนออกไปหาฝูงชนผู้บ้าคลั่งเหล่านั้น รุ่งเช้า คนเลวีพบร่างภรรยาน้อยในสภาพเจียนตายนอนนิ่งอยู่ตรงธรณีประตู เขายกนางขึ้นหลังลากลับบ้าน แล้วตัดร่างนางออกเป็น 12 ชิ้น (ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องสิ่งที่ชายผู้นี้ทำ-ผู้เขียน)
รูธกับโบอาส
สตรีม่ายนาม “รูธ” รักกับชายชื่อ “โบอาส” ญาติของสามีนาง แต่นางมีญาติฝั่งสามีผู้ล่วงลับที่ใกล้ชิดทางสายเลือดมากกว่าโบอาส แปลว่าชายผู้นั้นมีสิทธิ์ในตัวนางมากกว่าตามไปด้วย เคราะห์ดีที่ชายผู้นั้นไม่ต้องการความยุ่งยากและรับภาระดูแลสตรีม่าย รูธกับโบอาสจึงได้ร่วมหัวจมท้ายกัน นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องราวที่นำมาเสนอ และหญิงในเรื่องไม่ต้องเผชิญกับเรื่องร้าย ๆ หรือตอนจบแบบโศกนาฏกรรม…
อันที่จริง กล่าวได้ว่ามุมมองทางเพศในพระคัมภีร์มีความขัดแย้งกันเองไม่น้อย เพราะนอกจากกรณีข้างต้น ยังมีเรื่องราวความรักของคนเพศเดียวกันแทรกอยู่ในพระคัมภีร์ และพระเจ้าดูจะไม่ได้ใส่ใจต่อพฤติกรรมของพวกเขาสักเท่าใดนัก แต่กลับมีบทบัญญัติว่าการรักร่วมเพศเป็นบาปมหันต์ ชายที่สังวาสกับชายด้วยกันต้องโทษประหาร
นอกจากนี้ เรื่อง “เพศ” ของสตรีในแต่ละบทของ พระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม ก็มีความแตกต่างกัน (แบบสุดขั้ว) เช่นกรณีของโอนันกับคนเลวี โอนันปฏิเสธการสมสู่กับภรรยาของพี่ชายและถูกพระเจ้าลงทัณฑ์ เพราะการมีทายาทเพื่อสืบวงศ์ตระกูลของผู้ล่วงลับคือสิ่งสำคัญ และหญิงม่ายต้องมีผู้รับช่วงดูแลต่อ แต่คนเลวีผู้ส่งภรรยาน้อยของตนไปให้กลุ่มอันธพาลกระทำชำเราและสับนางออกเป็น 12 ชิ้น กลับไม่พบการถูกลงโทษใด ๆ จากพระเจ้าเลย
อ่านเพิ่มเติม :
- เปิดที่มาของ “ดวงดาวแห่งดาวิด” ดาวบนธงชาติอิสราเอล
- “ฟิลิสตีนส์มาจากไหน?” นักโบราณฯ เชื่อพบสุสาน “ศัตรูชาวยิวตามพระคัมภีร์” เป็นครั้งแรก
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 ตุลาคม 2566