“ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์” 3 องค์ประกอบหน้าบันวัด-วังไทย มาจากไหน?

หน้าบันพระอุโบสถ ศิลปกรรมไทย ประกอบเรื่อง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
หน้าบันพระอุโบสถ มีองค์ประกอบครบทั้ง ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงศ์ ตามขนบศิลปกรรมไทย (ภาพโดย ติ๊ก แสนบุญ)

“ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์” ของ “หน้าบัน” ในสถาปัตยกรรมกลุ่มวัด-วังไทยคืออะไร มาจากไหน ทำไมศักดิ์สิทธิ์จนคนโบราณห้ามใช้กับอาคารสามัญชน ?

ไมเคิล ไรท์ เล่าถึงประเด็นนี้ไว้ในบทความ “ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์มาจากไหน ?” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2535 โดยชี้ว่า “หน้าบัน” ไทย เป็นพี่-น้อง (Analageous to) หรือสืบทอดมาจาก “โคปุรัม” ในอินเดียใต้

โคปุรัม ซุ้มประตูวัดฮินดูในรัฐทมิฬนาฑู, อินเดียใต้
โคปุรัม ซุ้มประตูวัดฮินดูในรัฐทมิฬนาฑู, อินเดียใต้ (ภาพโดย demmonscreation ใน Pixabay)

ข้อสรุปดังกล่าวสร้างความฉงนงงงวยให้คนทั่วไปที่มองไปยังโคปุรัม แล้วย้อนกลับมาดูหน้าบันไทยอีกรอบ เพราะคำถามแรกที่นึกได้คงเป็น “คล้ายกันตรงไหน?”

ไรท์ได้แจกแจงให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญขององค์ประกอบประจำสถาปัตยกรรมแบบจารีตของทั้ง 2 ดินแดนว่าเกี่ยวโยงกันจริง ๆ ไม่ใช่การจับแพะชนแกะ

ข้อสังเกตสำคัญอยู่ที่ยอดโคปุรัมของอินเดียซึ่งเรียกว่า หลังคาถังไม้ (Barrel Vault) หรือที่ไรท์เรียก “ท้องเรือคว่ำ” หากสังเกตดี ๆ จะมีเกียรติมุข (หน้ากาล) อยู่บนยอด มีหางเป็นมกร ตรงนี้เองที่เทียบได้กับ “ช่อฟ้า” กับ “หางหงส์” ของหน้าบันไทย

หน้าบัน วัดหน้าพระเมรุ
หน้าบันวัดหน้าพระเมรุ

ไรท์อธิบายว่า สันหลังคาท้องเรือคว่ำของโคปุรัมจะมี “งอน” เหมือนช่อฟ้า และเป็นที่แขวนเกียรติมุข ซึ่งอินเดียพัฒนาบทบาทของเกียรติมุขให้ใหญ่เป็นพิเศษ แต่ลดบทบาทของงอนให้เตี้ยป้อมจนสังเกตแทบไม่เห็น ขณะที่ช่างสยามทำสิ่งตรงข้าม คือพัฒนาให้งอนสูงชะลูดจนกลายเป็นช่อฟ้า ส่วนเกียรติมุขลดบทบาทลงจนเป็นแค่ “อก” ของช่อฟ้า

“เกียรติมุขของอินเดียสับสนจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นหัวใครหรือหัวอะไร เพราะนอกจากจะเป็นหัวราชสีห์ (สัญลักษณ์ของพระอาทิตย์) มันยังเป็นหัวตัวบูชายัญที่ถูกเปลี่ยนจากคน (ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์) มาเป็นสัตว์อื่น ๆ ในภายหลัง แต่ยังศักดิ์สิทธิ์มากจนทุกวันนี้”

ความศักดิ์สิทธิ์ข้างต้นส่งทอดมายังหน้าบันไทย แม้เกียรติมุขจะถูกซ่อนเร้น แต่โดยจารีตจะอนุญาตให้มีหน้าบันเฉพาะในวัดหรือวังเท่านั้น

ก่อนจะไปดูหางหงส์ แวะมาดูใบระกากันก่อน เพราะค่อนข้างตรงไปตรงมา คือมีเหมือนกันทั้งไทยและอินเดีย ส่วนจะสื่อถึงสายรุ้ง สายฝน หรือพญานาค ก็ไม่ขัดแย้งอะไร ล้วนข้องเกี่ยวกัน

ความหมายคือ “เจ้าพ่อฟ้า” สมสู่ “เจ้าแม่ดิน” ด้วยสายฝน (เกิดรุ้งกินน้ำ) ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และนาคก็เป็นส่วนหนึ่งของนาฏกรรมทางธรรมชาตินี้ด้วย เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าบาดาลแล้ว คนโบราณยังเชื่อว่าฟ้าแลบคือการเต้นรำบนฟ้าของพญานาค

คติทั้งหมดมีร่วมกันทั้งในไทยและอินเดีย จึงไม่เป็นปัญหาใด ๆ

สุดท้ายคือหางหงส์ ซึ่งดูผิวเผินน่าจะพัฒนามาจาก “หัวนาค” ที่หันหน้าออกในหน้าบันปราสาทขอม แต่จะเป็นหัวนาคหรือไม่ก็ตาม ประเด็นอยู่ที่ทำไมช่างสยามเรียกมันว่า “หางหงส์”

นาคปลายซุ้มหน้าบัน ศิลปะบันทายศรี-คลัง ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๖
นาคปลายซุ้มหน้าบัน ศิลปะบันทายศรี-คลัง ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๖

ไรท์ยืนยันว่า หางหงส์ของไทยเกี่ยวกับหางมกรของอินเดียใต้แน่ เพราะตามปรัมปราแล้วมกรคือสัตว์ผสม งวงเหมือนช้าง ปากและตาของจระเข้ ขาอย่างราชสีห์ และ หางอย่างหงส์

“ดังนั้นแม้ ‘หางหงส์’ ของไทยอาจจะพัฒนามาจากหัวนาคเขมรก็จริง แต่ในสายตาสถาปนิกไทยมันยังเป็น ‘หางหงส์’ ตรงกับหางหงส์ของมกรในศิลปะอินเดียใต้”

หน้าบัน โคปุรัม เกียรติมุข
หน้าบันของโคปุรัม จะเห็นเกียรติมุขมีงอนอยู่บนสุด ถัดลงมาเป็นใบระกากับหางมกร ซึ่งเป็นองค์ประกอบคล้ายกับหน้าบันของไทย (ภาพโดย Zairon ใน Wikimedia Commons สิทธิการใช้งาน CC BY-SA 4.0)

ไมเคิล ไรท์ จึงสรุปว่า หน้าบันวัดและวังของไทย อันประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน้าบันหลังคาท้องเรือคว่ำของโคปุรัมในอินเดียใต้ ในส่วนวิวัฒนาการของสิ่งเหล่านี้จากอินเดียใต้สู่อุษาคเนย์ ขอให้ติดตามอ่านในโอกาสต่อไป

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กรกฎาคม 2568