“ใครๆ ว่าฉันมีบุญจะได้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้” : กรมหลวงนครราชสีมา

สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงฉาย กับ พระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงฉายกับพระราชโอรส (จากซ้ายไปขวา) สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร)

“—ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญจะได้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้—” เป็นพระปรารภใน พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ขณะประชวรหนักใกล้เสด็จทิวงคต (ทิวงคต วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2467)

สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 7 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นพระราชโอรสที่ทั้งพระบรมราชชนกชนนีทรงสนิทเสน่หาและทรงเอาพระทัยใส่อย่างใกล้ชิด เมื่อทรงพระเยาว์มีพระพักตร์และพระวรกายอ้วนป้อมน่ารัก ตรัสเรียกอย่างทรงเอ็นดูว่า “ลูกเอียดเล็ก” แต่มีพระพลานามัยไม่สู้จะสมบูรณ์นัก ประชวรหนักหลายครั้ง

เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อเสด็จประพาสชวา พ.ศ. 2444 ได้โดยเสด็จพระบรมราชชนกชนนีด้วย ขณะเสด็จประทับอยู่ที่โฮเต็ลโฮมันน์ เมืองบันดุง ประชวรไข้ไทฟอยด์ มีพระอาการหนักมาก เล่ากันว่าถึงขั้นเตรียมการว่าจะสิ้นพระชนม์

พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ “ลูกเอียดเล็ก” ที่พระบรมราชชนกชนนีทรงสนิทเสน่หาและทรงห่วงใยมากกว่าพระราชโอรสองค์อื่น

ทั้งพระบรมราชชนกชนนี ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ทรงพระกันแสงเมื่อทรงเห็นพระอาการ ตรัสว่าเหมือนกับจะถูกใครเอาไปประหารชีวิตวันละ 2 ครั้ง 3 ครั้ง บรรยากาศสลดหดหู่เงียบเหงา บางวันดูเหมือนพระอาการหนักจะสิ้นพระชนม์ เวลาทรงไม่สบายทรงร้องจะเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ทูลว่า “—ทูลหม่อมป๋าคะ เอียดเล็กทูลลา—“

ยิ่งทำให้พระบรมราชชนกชนนีทรงโศกเศร้ามากขึ้น แต่พระชาตาชีวิตยังไม่ทรงถึงที่สิ้นจึงมีหมอแขกชวารับรักษานานกว่าเดือน โดยใช้ผ้าโสร่งชุบน้ำแข็งพันพระองค์จนไข้ลด พระอาการค่อยทุเลาลง

รูปหมู่ฉายที่คอนเวิร์นเมนต์เฮาส์ เมืองสิงคโปร์ ในคราวเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2439 เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธได้โดยเสด็จตามไปด้วย และเมื่อเสด็จประพาสชวาครั้งหลัง ประชวรหนักมากแทบจะสิ้นพระชนม์เสียในคราวนั้น

ด้วยเหตุที่พระพลานามัยไม่ทรงสมบูรณ์ดังกล่าว ทำให้พระบรมราชชนกชนนีทรงห่วงใยกว่าพระราชโอรสพระองค์อื่น เช่น เมื่อมีพระชนมายุสมควรออกวัง ก็โปรดให้สร้างวังที่ประทับ คือวังสวนกุหลาบ ตั้งอยู่บริเวณส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิต

และทรงได้รับการยกเว้นหลายอย่าง เช่น ทรงศึกษาต่างประเทศในระยะเวลาสั้นๆ โปรดให้เข้าเฝ้าตามพระทัย ด้วยทรงเกรงจะกระทบกระเทือนพระพลานามัย แม้เมื่อทรงพอพระทัยนางสาวแผ้ว สุทธิบูรณ์ สตรีสามัญชน ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสกสมรสเป็นพระชายา ตำแหน่งหม่อมแผ้ว นครราชสีมา ก็ไม่มีผู้ใดขัดพระทัย

พระปรารภที่ว่า “ฉันมีบุญจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน” สืบเนื่องมาจากการที่พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงกราบบังคมทูลขอพระพรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระองค์ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร แทนสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ที่เสด็จสวรรคต ว่าขอให้สิทธิในการเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ อยู่ในพระราชโอรสของพระองค์จนสิ้นสายวงศ์ จึงจะเริ่มสายวงศ์ของพระมเหสีพระองค์อื่น ซึ่งก็ทรงได้รับพระพรนั้น

ด้วยเหตุนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ ฐานะพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จึงทรงมีสิทธิในราชบังลังก์เป็นลำดับที่ 2 ต่อจากจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระเชษฐา แต่หลังจากที่กรมหลวงพิษณุโลกฯ เสด็จทิวงคตอย่างกะทันหันเมื่อพระชนมายุเพียง 38 พรรษา สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ จึงทรงมีสิทธิในพระราชบังลังก์เป็นลำดับที่ 1 ตามกฎมณเฑียรบาล หมวดที่ 4 ว่าด้วยลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติวงศ์ ระบุไว้ชัดเจนว่า

“—หากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตลง โดยที่มิได้ทรงสมมติพระรัชทายาทไว้ก่อนตามกฎมณเฑียรบาล กำหนดให้เลือกสายตรงก่อนเสมอ—“

เพราะเหตุว่าในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยังไม่มีพระราชโอรส อันถือเป็นรัชทายาทสายตรง ทุกคนจึงหมายว่าหากสิ้นรัชกาลเมื่อใด สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ก็จะต้องได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอย่างแน่นอน จึงมีผู้คนบางพวกบางกลุ่มแห่ล้อมถวายพระพรว่า ทรงเป็นผู้มีบุญจะได้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน

เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ละหม่อมแผ้ว นครราชสีมา เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
(ซ้าย) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ และหม่อมแผ้ว นครราชสีมา (ขวา) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ผู้สืบสันตติวงศ์ “สายตรง” ตามกฎมณเฑียรบาล แต่เสด็จทิวงคตเสียก่อน

พันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ นายทหารผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ตลอดเวลา ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาการประชวรจนเสด็จทิวงคต ไว้ในหนังสือเรื่องการดำเนินชีวิตของพันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ ความตอนหนึ่งว่า

“—เมื่อวันทิวงคตนั้น เฝ้าอยู่ข้างพระที่ตลอดเวลา ประชวรครั้งนั้นประชวรไข้ ทรงร้อนมาก ตรัสถามหมอว่าจะอาบน้ำได้หรือไม่ หมอทูลว่าได้ จึงลงแช่พระองค์ในอ่าง พอขึ้นมาก็มีพระอาการปับผาสะบวม ขณะประชวรน้ำพระเนตรไหล ตรัสว่า ‘ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญ จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้’ รับสั่งเสร็จไม่ถึงชั่วโมงก็เสด็จทิวงคต—“

การเสด็จทิวงคตของพระราชโอรสผู้มีสิทธิในพระราชบัลลังก์เป็นไปอย่างรวดเร็ว และในระยะเวลาอันสั้น ถึง 3 พระองค์ คือจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย

เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระราชโอรสพระองค์ท้ายสุดในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ที่มิได้มีผู้คาดหมายว่าจะต้องรับพระราชภาระใหญ่ยิ่งนี้ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี

สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระราชโอรสองค์สุดท้ายในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความโดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2547


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2561