บาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวหา “รัฐบาลไทยทารุณนักโทษคริสเตียน” หลังพระเพทราชายึดอำนาจ

นักโทษ

“บาทหลวงฝรั่งเศส” กล่าวหา รัฐบาลไทยทารุณนักโทษคริสเตียน หลัง “พระเพทราชา” ยึดอำนาจ

รายงานข่าวจากคณะบาทหลวงฝรั่งเศสที่พำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อหลัง พระเพทราชา ยึดอำนาจ และสถาปนาตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว แจ้งว่า พวกบาทหลวงและบรรดาผู้คนที่หันไปเข้ารีตต้องถูกจับเข้าคุกเป็นจำนวนมาก ในรายงานฉบับหนึ่ง (ซึ่งบัดนี้ทางการไทยจัดไว้เป็นเอกสารเปิดเผยชุด ประชุมพงศาวดารภาคที่ 35) ให้รายละเอียดว่า:

“ในครั้งนั้นบรรดาชาวต่างประเทศมีความประหลาดใจมากที่ได้เห็นชาวยุโรปในเมืองไทย ทั้งนักเรียนอายุ 13 ขวบ 14 ขวบ ตลอดจนมิชชันนารี ซึ่งหน้าตาแสดงความบริสุทธิ์ของตัว ต้องถูกลากไปตามถนน และถูกบีบคั้นไม่ผิดกันกับพวกผู้ร้ายอย่างสำคัญและผู้ร้ายที่ฆ่าคนตาย

ถ้าพวกคริสเตียนล้มลงด้วยอ่อนเพลียเพราะความไม่สบาย หรือแดดเผาจนร้อน หรือเหน็ดเหนื่อยเต็มที ประเดี๋ยวก็ต้องลุกขึ้นได้ด้วยไม้ตี ในตอนเช้าเวลาเดินไปทำงานและตอนเย็นเวลากลับ พวกนี้ต้องขอทานตามประตูบ้านและตามร้านทุกๆ แห่ง พวกชาวบ้านก็ให้ข้าวบ้าง ปลาเค็มบ้าง เบี้ยซึ่งใช้กันต่างเงินบ้าง และให้เหมือนกับนักโทษไทยและมอญที่ต้องร้อยโซ่ติดเป็นพวงเดียวกันไป”

ตอนหนึ่งในคำรายงานของ บาทหลวงฝรั่งเศส นั้น ได้กล่าวถึงสภาพนักโทษในยามกลางคืนไว้ด้วยว่า :

“ครั้นถึงเวลากลางคืน พวกเราที่เป็นนักโทษก็ต้องมารวมอยู่ตามคุกต่างๆ นอกจากต้องถูกมัดมือมัดเท้า ยังต้องทนความคุมเหงของพวกผู้คุมอีก ในโลกนี้จะหาคนที่มีใจเหี้ยมโหดดุร้ายยิ่งกว่าผู้คุมเหล่านี้เป็นหาไม่ได้ และเป็นธรรมเนียมของพวกนี้ซึ่งจะละเว้นไม่ได้ที่ต้องเมาสุราทุกวัน และยิ่งกลางคืนยิ่งเมามาก

ในเวลาที่เมาเป็นเวลาที่พวกผู้คุมให้เพลินใจโดยมาข่มเหงพวกนักโทษ คนหนึ่งถูกดึงหนวด คนโน้นถูกเผาหนวด คนนี้ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า คนนั้นต้องจูบก้นผู้คุม ยังมีผู้คุมใจโหดร้ายคนหนึ่งซึ่งพอใจให้มองซิเออร์โปเกจูบก้นของตัวอยู่เสมอๆ และแกล้งเรียกมองซิเออร์โปเกว่าสังฆราชๆ แต่เมื่อพวกผู้คุมเห็นโอกาสที่จะบีบคั้นเอาเงินจากนักโทษได้เมื่อใด ซึ่งเป็นการเท่ากับกินเลือดกินเนื้อของนักโทษ นั่นแหละพวกผู้คุมปล่อยความเหี้ยมโหดดุร้ายเต็มที่ จนถึงกับผู้คุมเหล่าร้ายบางคนได้เอานักโทษมัดตรึงไว้แน่นหนา แล้วเอามือจับที่ลับแห่งหนึ่งซึ่งความกระดากของข้าพเจ้าจะเรียกไม่ได้ แล้วบีบโดยเต็มแรง ตะโกนบอกให้นักโทษผู้ถูกบีบนั้นให้ๆ เงินแก่ผู้คุม”

ในรายงานร้องเรียนฉบับนี้ ผู้เขียนได้เน้นย้ำถึงท่าทีของคนไทยทั่วที่มีต่อนักโทษคริสเตียนว่ามีบุคคลบางพวกก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ยังมีบางพวกที่ “ยินดีจะด่าและหมิ่นประมาทและข่มเหงต่างๆ เช่นถอนหนวดบ้าง ทุบตีบ้าง กล่าวคำหยาบบ้าง และบางคนก็ทำเป็นพูดสมน้ำหน้าที่ได้มาถูกเช่นนี้ การที่คนไทยพูดเช่นนี้พวกเราไม่ได้ประหลาดใจเลย เพราะเขาหาว่าเราได้พยายามทำลายศาสนาของเขา แต่ที่พวกคริสเตียนบางคนซึ่งอ้างตัวว่าเป็นปอร์ตุเกสพลอยพูดไปด้วยนั้น เราไม่ทราบเลยว่าพวกเขาเอาหลักอะไรมาพูด”

อนึ่ง นอกจากการทำทารุณกรรมแล้ว รายงานฉบับนี้ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า คนไทยไม่ได้โกรธแต่คริสเตียนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น หากยังโกรธไปถึงคนตาย จนมีการขุดศพขึ้นมา โดยด้านหนึ่งก็หวังว่าจะเจอสมบัติอะไรบ้าง

ท้ายสุดผู้เขียนรายงานยืนยันว่า แม้พวกคริสเตียนจะถูกทารุณในคุก แต่พวกเขาก็ยังร้องเพลงสวด อ่านหนังสือและแต่งบทร้องต่างๆ ขึ้นมา ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ยอมมอบตัวให้พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากเอกสารประกอบการเสวนาของ สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา 18 กันยายน 2557


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 เมษายน 2561