เผยแพร่ |
---|
โมโตโกะ ฟูจิชิโร ฮัธเวต (Motoko Fujishiro Huthwaite) สตรีเชื้อสายอเมริกัน-ญี่ปุ่น หนึ่งในทีมที่ช่วยมนุษยชาติเก็บรักษาวัตถุทางวัฒนธรรม อาทิ งานศิลปะอันมีมูลค่าเกินประเมิน ทั้งในช่วงระหว่างและหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากไวรัสโควิด-19
รายงานข่าวจาก New York Times เปิดเผยข่าวเศร้าสำหรับเหล่านักอนุรักษ์ รายงานเผยว่า โมโตโกะ สตรีหนึ่งในทีมค้นหาที่มีสมาชิกราว 345 คนจาก 14 ประเทศ ซึ่งเรียกกันว่า “The Monuments Men” หรือ The Monuments Women มีบทบาทเป็นที่รู้จักจากการทำงานช่วยมนุษยชาติเก็บรักษาวัตถุล้ำค่าทางวัฒนธรรมและงานศิลปะทั้งในช่วงระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามจบลง เธอเสียชีวิตที่สถานฟื้นฟูในวัย 92 ปี จากภาวะแทรกซ้อนจากไวรัสโควิด-19
รายละเอียดของการเสียชีวิตครั้งนี้มาจากการเปิดเผยของโรเบิร์ต เอ็ม เอ็ดเซล (Robert M. Edsel) ผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิ The Monuments Men โรเบิร์ต เปิดเผยสาเหตุของการเสียชีวิตว่ามาจากภาวะแทรกซ้อนของไวรัสโคนา (complications of the coronavirus)
รายงานข่าวยังเผยว่า โมโตโกะ เป็นสมาชิกสตรีรายสุดท้ายของกลุ่มก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงในวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2020 ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่สมาชิกคนสุดท้ายของ Monuments Men ที่ยังมีชีวิตอยู่คือ ริชาร์ด เอ็ม บาแรนสิค (Richard M. Barancik เกิดเมื่อปี 1924)
สำหรับกลุ่ม Monuments Men เป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของชายหญิงชาวอเมริกันและบริติช มีทั้งนักประวัติศาสตร์, ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์, ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ และอีกหลายอาชีพ พวกเขากังวลเรื่องความเสียหายจากสงครามต่อวัตถุทางวัฒนธรรมที่สำคัญของโลก กลุ่มนี้มีบทบาทในการดูแลรักษาวัตถุที่มีค่าทางวัฒนธรรม ป้องกันการโจรกรรม และบูรณะซ่อมแซมหากวัตถุนั้นเสียหาย
เมื่อสงครามจบลง พวกเขาแกะรอยวัตถุมีค่านับล้านชิ้นที่ถูกทหารนาซีหยิบฉวยไปและนำมันกลับคืนประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดต้นทาง เรื่องราวของกลุ่มนี้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ The Monuments Men เมื่อปี 2014 มีเนื้อหาอ้างอิงจากหนังสือชื่อเดียวกัน
โมโตโกะ เข้าร่วมกลุ่มหลังจากกลุ่มนี้เริ่มปฏิบัติงานไปได้สักระยะหนึ่ง ลำดับเลขสมาชิกของเธอคือ 27 ขณะที่โมโตโกะ กำเนิดจากพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในบอสตัน เมื่อปี 1927 เธอได้รับคำแนะนำจากนายแลงดอน วอร์เนอร์ (Langdon Warner) ซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นต้นแบบของตัวละครอินเดียน่า โจนส์ (Indiana Jones) ในสื่อบันเทิงอเมริกัน ให้ทำงานกับกลุ่มนี้ เนื่องจากเธอเป็นคนอเมริกันที่ใช้ได้ทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น เธอได้รับว่าจ้างเป็นเสมียน ทำหน้าที่เตรียมเอกสารรายงานภาคสนามและเอกสารเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร
เธอทำงานโดยตรงกับร้อยโทจอร์จ เสตาท์ (George L. Stout) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม (ในภาพยนตร์ ตัวละครนี้รับบทโดยจอร์จ คลูนีย์) ในช่วงที่ภาพยนตร์เข้าฉาย เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ ว่า เธอไม่รู้มาก่อนว่า เอกสารที่เธอทำขึ้นเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการของกลุ่มนี้เลยจนกระทั่งปี 2015 ที่ภาพยนตร์กำลังจะเข้าฉาย
ขณะที่ชินจิ ฟูจิชิโร บิดาของเธออาศัยในสหรัฐฯ โดยสอนและทำงานด้านทันตแพทย์ในฮาร์วาร์ด แต่หลังจากญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ชาวอเมริกันเริ่มปฏิเสธรับการรักษาจากพ่อของเธอ หลังจากนั้น เขาถูกเอฟบีไอควบคุมตัวและส่งไปกักตัวที่ศูนย์กักกันในมอนทาน่า อีกปีให้หลังก็ถูกส่งกลับญี่ปุ่น ครอบครัวของเธอตั้งรกรากในโตเกียว ครอบครัวของเธอยังอาศัยในโตเกียวเมื่อกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า และนางาซากิ หลังสงครามจบไม่นาน พ่อของโมโตโกะ ก็เสียชีวิต
ภายหลังญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อปี 1941 โมโตโกะ พร้อมแม่และพี่ชายถูกส่งไปญี่ปุ่น ช่วงเวลานั้นเธออายุ 14 ปี เธอมาถึงญี่ปุ่นในปี 1942 ครอบครัวของเธอรอดชีวิตจากการโจมตีโตเกียวโดยฝ่ายสัมพันธมิตร เธอเล่าความทรงจำว่า เธอพบเห็นกับตาว่าบ้านพักของเพื่อนร่วมชั้นไหม้จนเหลือแต่ซาก
ภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ครอบครัวของเธอจึงได้พบกันอีกครั้ง ช่วงเวลานั้นเอง แลงดอน วอร์เนอร์ เดินทางมาถึงโตเกียวเมื่อปี 1946 ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายศิลปะและอนุสาวรีย์ซึ่งอยู่ภายใต้ศูนย์บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร (Supreme Commander for the Allied Powers หรือ SCAP) หลังจากนั้นโมโตโกะ จึงได้ทำงานเป็นเสมียนให้กับกลุ่ม The Monuments Men
เมื่อโมโตโกะ ได้สัญชาติอเมริกันกลับคืนมา หลังจากนั้นก็ทำงานเก็บเงินเพื่อใช้เป็นค่าเดินทางกลับมาสหรัฐฯ เธอเดินทางมาถึงบอสตันในปี 1948 และเรียนจบด้านภาษาอังกฤษจากวิทยาลัยแรดคลิฟฟ์ เมื่อปี 1952
ระหว่างปี 1955-1964 เธอทำงานเป็นครูให้โรงเรียนอเมริกันในญี่ปุ่น (American School in Japan หรือ ASIJ) หลังจากนั้นก็ย้ายกลับมาสหรัฐฯ อาศัยร่วมกับพี่น้องในโคลอมเบีย เมื่อปี 1964
เธอศึกษาต่อและทำงานในสหรัฐฯ นับตั้งแต่นั้นจนเกษียณในปี 2002 โดยทำหน้าที่หลายบทบาททั้งเป็นครูในโรงเรียนรัฐ จนถึงพนักงานในบริษัทเอกชนที่ทำงานด้านวิจัยและสื่อการศึกษา
อ้างอิง:
Katharine Q. Seelye. “Motoko Fujishiro Huthwaite, 92, Last of the ‘Monuments Women,’ Dies”. New York Times. Online. Published 8 MAY 2020. Access 11 MAY 2020. <https://www.nytimes.com/2020/05/08/us/motoko-fujishiro-huthwaite-dead-coronavirus.html>
“Motoko Fujishiro Huthwaite”. Monuments Men Foundation. Online. Access 11 MAY 2020. <https://www.monumentsmenfoundation.org/fujishiro-motoko-huthwaite>
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 พฤษภาคม 2563