“พอร์ต รอยัล” เมืองที่เลวทรามที่สุดในโลกแห่งทะเลแคริบเบียน ก่อนจมลงสู่ก้นบาดาล

พอร์ต รอยัล Port Royal เมืองที่เลวทรามที่สุดในโลก แห่ง ประเทศจาเมกา
เมืองพอร์ต รอยัล และท่าเรือคิงส์ตัน (ภาพจาก The New York Public Library)

หมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบแห่งหนึ่งบริเวณริมอ่าวเมืองคิงส์ตัน (Kingston) ประเทศจาเมกา (Jamaica) ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนหลายคนเรียกขานว่าเป็น “เมืองที่เลวทรามที่สุดในโลก” กระทั่งเมืองนี้ถูกคลื่นยักษ์กวาดกลืนลงสู่ก้นทะเล ที่นี่คือ พอร์ต รอยัล (Port Royal) เมืองท่าสำคัญของจักรวรรดิอังกฤษในภูมิภาคแคริบเบียน

Port Royal ตั้งอยู่ปลายเนินทรายยาว 18 ไมล์ ที่รู้จักกันในชื่อ the Palisadoes บริเวณปากอ่าว ณ จุดที่เป็นท่าเรือคิงส์ตัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ ประเทศจาเมกา ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ชุมชนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1518 โดยชาวสเปน ด้วยจุดประสงค์ให้เป็นจุดแลกเปลี่ยนและศูนย์กลางค้าระหว่างสเปนกับดินแดน “โลกใหม่” (New World) หรือทวีปอเมริกา ซึ่งชาวสเปนเองคือคนยุโรปชาติแรกที่ค้นพบและจับจองพื้นที่บริเวณนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1494

Port Royal กลายเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญที่สุดในทะเลแคริบเบียนด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม แต่หลังจาก 150 ปี ภายใต้การปกครองของสเปน อังกฤษได้เข้ามายึดครอง Port Royal ต่อจากพวกเขาใน ค.ศ. 1655 จากความร่วมมือระหว่างกองทัพอังกฤษและกองกำลังโจรสลัดแห่งแคริบเบียน

Port Royal ภายใต้การปกครองของอังกฤษเติบโตอย่างต่อเนื่อง อังกฤษใช้ประโยชน์จากเมืองนี้เช่นเดียวกับสเปน คือเป็นท่าเรือศูนย์กลางการติดต่อและแลกเปลี่ยนสินค้าในภูมิภาคนี้ ความมั่งคั่งจากการค้าทาส น้ำตาล และไม้ ทำให้ Port Royal รุ่งเรืองและคึกคักที่สุดในบรรดาเมืองท่าในดินแดนโลกใหม่ที่อยู่ในการปกครองของอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม อังกฤษขาดกำลังคนในการดูแลพื้นที่อย่างหนัก ทางการจึงจำต้องขอความร่วมมือพันธมิตรเก่าที่เป็นโจรสลัดร่วมถึงผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาช่วยดูแลเมือง

ปีเตอร์ กอร์ดอน (Peter Gordon) นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอธิบายว่า “ลองนึกภาพเมืองที่รุ่มรวยด้วยทองจำนวนมหาศาลเติบโตขึ้นพร้อมกลุ่มคนที่มีประวัติน่าเคลือบแคลงใจและก่อเรื่องตามอำเภอใจของพวกเขา ทั้งซ่อง บาร์ และโบสถ์ที่มีจำนวนเท่ากัน คุณจินตนาการได้ถึงบรรยากาศอันครึกครื้นของ พอร์ต รอยัล ได้เลย”

ค.ศ. 1692 มีบันทึกว่า Port Royal มีประชากรในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 6,500 คน มีบ้านเรือน อาคาร ที่ทำการต่าง ๆ กว่า 2,000 หลัง ทั้งหมดนี้อยู่ในตัวเมืองพื้นที่ประมาณ 50 เอเคอร์ ความครึกครื้นของเมืองและนโยบายของทางการอังกฤษที่ค่อนข้างเปิดกว้างดึงดูดเหล่าโจรสลัดและนักเดินเรือมากมายมายัง Port Royal และทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกนอกกฎหมาย ดินแดนแห่งความบันเทิง ร้านเหล้า บ่อนพนัน ซ่องโสเภณี รวมถึงเป็นจุดแวะพักของนักผจญภัยก่อนไปแสวงโชคในแผ่นดินใหญ่และเกาะแก่งต่าง ๆ

แผนที่เกาะจาเมกาและส่วนขยายบริเวณอ่าวคิงส์ตัน ที่ตั้งของพอร์ต รอยัล, ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 (ภาพจาก The New York Public Library)

การเป็นแหล่งชุมโจรทำให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหารที่ขึ้นตรงต่อทางการอังกฤษต้องอยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าโจรเหล่านั้น Port Royal จึงเต็มไปด้วยการก่อเหตุร้าย ปล้น ชิงทรัพย์ ฆาตกรรม อาชญากรรมต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องปกติของเมือง พวกอาชญกรมีทรัพย์สมบัติมากมายจนบางครั้งทางการก็ควบคุมไม่อยู่และได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป ทำให้เมืองแห่งนี้เป็น “เมืองคนบาป” ถึงขั้นได้รับการขนานนามว่า “Wickedest City in the World” หรือ เมืองที่เลวทรามที่สุดในโลก

ชื่อเสียงด้านลบของ Port Royal โด่งดังไปทั่วแคริบเบียน ทวีปอเมริกา และยุโรป สำหรับชาวคริสต์ผู้เคร่งศาสนามองว่าเมืองนี้เป็นอยู่นอกเหนือการดูแลของพระเป็นเจ้าและเป็นดินแดนป่าเถื่อนที่คนนอกไม่ควรไปเยี่ยมเยือน ชาร์ล เลสลี (Charles Leslie) นักบวชและนักเขียนชาวไอริชบรรยายถึง Port Royal ว่า

“ไวน์และสตรีทำลายความมั่งคั่งของพวกเขาจนหมดสิ้น…จนบางคนกลายเป็นขอทาน พวกเขาใช้จ่ายกว่า 2,000-3,000 เหรียญ (สเปน) ภายในคืนเดียว บางคนจ่ายถึง 500 เหรียญให้โสเภณีเปลื้องผ้า พวกเขาซื้อไวน์หนึ่งขวด วางมันไว้บนถนนและบังคับทุกคนที่ผ่านไป-มาให้ดื่มมัน”

ความรุ่งโรจน์ของเมืองคนบาปสิ้นสุดในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1692 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในทะเลแคริบเบียน ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดหมู่เกาะบริเวณนั้นรวมถึงเมือง Port Royal คลื่นกวาดกลืนเมืองและผู้คนจมลงสู่บาดาล มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า 3,000 คน เมืองคนบาปเหลือแต่ซากความเสียหายที่ยากจะฟื้นคืน ส่วนหนึ่งของเมืองจมลงสู่ก้นสมุทร นักบวชท้องถิ่นเชื่อว่าความพินาศที่เกิดขึ้นคือพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าเพื่อลงโทษคนบาปในเมืองนี้

อาคารบ้านเรือนกว่า 2 ใน 3 ของเมืองและทรัพย์สมบัติจำนวนมากถูกวาดลงทะเลและจมอยู่ใต้บาดาลตั้งแต่นั้น ความโด่งดังในอดีตของ Port Royal นำนักนักล่าสมบัติให้ดำน้ำเสี่ยงอันตรายลงไปใต้ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยฉลามดุร้ายเพื่อหาสมบัติที่จมอยู่ใต้นั้น นักล่าสมบัติจำนวนหนึ่งกลายเป็นอาหารอันโอชะของฉลาม ส่วนคนที่รอดมักมีเรื่องเล่าชวนสยองขวัญเกี่ยวกับซากเมืองใต้บาดาลนี้ว่าพวกเขามักได้ยินเสียงกังวาลคล้ายระฆังโบสก์ข้างล่างนั่น และเสียงเหล่านั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของพวกเขา

ช่วง ค.ศ. 1965 ทีมนักสำรวจทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีโดยการนำของ โรเบิร์ต เอฟ. มาร์ก (Robert F. Marx) นักโบราณคดีใต้สมุทร ได้ดำดิ่งลงไปเก็บหลักฐานอายุร่วมร้อยปีจากซากเมืองใต้สมุทรเพื่อนำมาเก็บรักษาและค้นคว้าวิจัย ณ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์วรรณา (Museums of History & Ethnography) ที่อาคาร The Institute of Jamaica ในเมืองคิงส์ตัน

ส่วนบริเวณที่เคยเป็นเมือง Port Royal เดิมที่อยู่บนชายฝั่งได้กลายสภาพเป็นชุมชนชาวประมงขนาดเล็กที่มีประชากรไม่ถึง 2,000 คน ไม่เหลือสภาพเมืองคนบาปแห่งทะเลแคริบเบียนที่ครึกครื้นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้แต่น้อย แน่นอนว่าหลังภัยพิบัติในวันนั้น เมืองแห่งนี้ไม่เคยฟื้นคืนสภาพใกล้เคียงกับที่เคยเป็นในอดีตอีกเลย

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

Annetta Black, Atlas Obscura : Sunken Pirate City at Port Royal

James March, BBC TRAVEL : “Jamaica’s Port Royal: The wickedest city on Earth?”

Kaushik Patowary, AMUSING PLANET : The Sunken Pirate City of Port Royal


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 ตุลาคม 2565