“แผ่นดินไหวคันโต” ปี 1923 ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่พลิกโฉมหน้าประเทศญี่ปุ่น

แผ่นดินไหวคันโต แผ่นดินไหว ญี่ปุ่น แผ่นดินไหวคันโต ปี 1923
"แผ่นดินไหวคันโต" แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น เมื่อปี 1923

แผ่นดินไหวคันโต ปี 1923 ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่พลิกโฉมหน้าประเทศญี่ปุ่น

แผ่นดินไหวคันโต ซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1923 (พ.ศ. 2466) ที่ ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ของมหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งหินอัคนีขนาดใหญ่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนดินทางตอนใต้ ทำให้หมู่เกาะแห่งนี้ประสบภัยแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง

แผ่นดินไหวคันโต หรือที่สื่อขนานนามว่า “The Great Japan Earthquake” ทำลายล้างเมืองโยโกฮาม่าและกรุงโตเกียวไปเกือบสิ้น ผู้คนบาดเจ็บล้มตายสูญหาย อาคารบ้านเรือนพังพินาศ แต่ในความวิปโยคคือบทเรียนที่ทำให้ญี่ปุ่นสร้างความเข้มแข็งด้านการป้องกันภัยแผ่นดินไหว

จุดเริ่มต้นของแผ่นดินไหวคันโต เกิดขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน ปี 1923 ขณะที่ผู้คนกำลังใช้ชีวิตปกติเหมือนทุก ๆ วัน แต่มีบางอย่างที่เริ่มผิดปกติ ซึ่ง โจชัว แฮมเมอร์ (Joshua Hammer) กล่าวถึงปรากฏการณ์วันนั้นไว้ในงาน “Yokohama Burning” ว่า “เกิดสายฟ้าออกมาจากก้อนเมฆสีทมิฬ ซึ่งฉวัดเฉวียนไปทั่วผืนน้ำทะเล” 

จนเมื่อเวลาเกือบเที่ยงวัน ชาวญี่ปุ่นก็เผชิญกับแผ่นดินไหวที่คาดการณ์ว่ารุนแรง 7.9-8.2 แมกนิจูด ตามด้วยสึนามิลูกใหญ่ที่ซัดเข้าถล่มเกาะและพื้นที่ชายฝั่งมากมาย เช่น เกาะโอชิมะ ที่ต้องประสบคลื่นยักษ์สูงเกือบ 12 เมตร แหลมอิซุและแหลมโบโซ เจอคลื่นขนาด 6 เมตร เป็นต้น

ความโกลาหลวุ่นวายก่อตัวมากขึ้นอีก เมื่อช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเหตุแผ่นดินไหว เป็นช่วงที่ชาวบ้านจุดไฟเพื่อตระเตรียมอาหารมื้อเที่ยง แรงสั่นสะเทือนทำให้ข้าวของภายในบ้านหล่นกระจัดกระจาย ไฟจากการทำครัวลามไปยังจุดต่าง ๆ เมื่อเจอกลุ่มลมซึ่งรวมตัวกันจนเรียกว่า “ทอร์นาโดไฟ” หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “เกลียวไฟมังกร” (Dragon twist fire) ซึ่งมีความสูงถึง 91 เมตร ก็ยิ่งทำให้ความเสียหายรุนแรงยิ่งขึ้น พื้นที่ราว 45% ในกรุงโตเกียวถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลอง และใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะสิ้นสุดลง

ย่านมารุโนอูจิ ในโตเกียวหลังเกิดแผ่นดินไหวคันโต ปี 1923

นอกจากนี้ เฮนรี ดับเบิลยู. คิดนีย์ (Henry W. Kidney) บรรณาธิการ Trans-Pacific Magazine ยังอธิบายบ้านเมืองตอนนั้นไว้ว่า

“โยโกฮาม่า เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนเกือบครึ่งล้าน ได้กลายเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยไฟ หรือเปลวเพลิงที่แผดเผา มีเศษซากของอาคารและกำแพงที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ตั้งตระหง่านเหมือนก้อนหินเหนือเปลวเพลิง ซึ่งไม่ทราบแล้วว่าอดีตเคยเป็นอย่างไร…เมืองโยโกฮาม่าได้สลายหายไปแล้ว”

แผ่นดินไหวคันโตยังทำให้ “พระพุทธรูปโคโตกูอิง” ของวัดโคโตะกุอิน ที่มีน้ำหนักถึง 93 ตัน เกิดการทรุดตัว และฐานของพระพุทธรูปเคลื่อนไปมากกว่า 30 เซนติเมตร

ความสูญเสียดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาการป้องกันภัยพิบัติของประเทศให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น สร้างความตระหนักรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติธรรมชาติให้เด็กๆ ผ่านการศึกษา ออกแบบถนนและอาคารบริเวณชายฝั่งของเมืองให้สามารถทนต่อแผ่นดินไหวมากขึ้น และเพื่อให้น้ำปริมาณมหาศาลที่ซัดขึ้นมาได้ไหลกลับลงทะเลอย่างรวดเร็ว ต่อมาในปี 1960 สำนักงานที่ดินแห่งชาติญี่ปุ่นจัดตั้งให้วันที่ “1 กันยายน” ของทุกปี เป็นวันสำหรับป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น

เมืองโยโกฮามา หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวคันโต ปี 1923

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

Joshua Hammer. Yokohama Burning. New York: Free press, 2006.

Joshua Hammer. “The Great Japan Earthquake of 1923.” Access 07 February 2023 https://www.smithsonianmag.com/history/the-great-japan-earthquake-of-1923-1764539/.

Kallie Szczepanski. “The Great Kanto Earthquake in Japan, 1923.” Access 07 February 2023  https://www.thoughtco.com/the-great-kanto-earthquake-195143.

Nippon. “Looking Back on the 1923 Great Kantō Earthquake, Which Devastated Tokyo and Yokohama.” Access 07 February 2023 https://www.nippon.com/en/japan-data/h00526/looking-back-on-the-1923-great-kanto-earthquake-which-devastated-tokyo-and-yokohama.html.

William Haris. “How Fire Tornadoes Work.” Access 07 February 2023 https://science.howstuffworks.com/nature/natural-disasters/fire-tornado4.htm.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2566