มาไวไปไว! การหวนคืนอำนาจของ “นโปเลียน” ปิดฉากอย่างรวดเร็วเพียงร้อยวัน

นโปเลียน ออกจาก เกาะเอลบา กลับ ฝรั่งเศส
นโปเลียนออกจากเกาะเอลบาเพื่อกลับฝรั่งเศส วาดโดย Joseph Beaume (ภาพจาก Wikimedia Commons)

นโปเลียน โบนาปาร์ต หรือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แม่ทัพ, รัฐบุรุษ และจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ฝรั่งเศส ในยุคการปฏิวัติอันโด่งดัง มีบทบาทเป็นผู้นำที่ครอบงำยุโรปไว้ภายใต้อำนาจจักรวรรดิฝรั่งเศสนานนับทศวรรษ ระหว่าง ค.ศ. 1804 จนถึง ค.ศ. 1814

ภายหลังจักรพรรดินโปเลียน หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) ประสบความล้มเหลวในการบุกรัสเซีย และปราชัยในยุทธการเมืองไลฟ์ซิก (Battle of Leipzig) เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1813 กองทัพของฝ่ายสหสัมพันธมิตร ประกอบด้วย รัสเซีย, อังกฤษ, ปรัสเซีย, ออสเตรีย และสวีเดน สามารถบุกยึดกรุงปารีสได้สำเร็จในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1814 ก่อนบีบให้พระองค์สละอำนาจ

ชาติสหสัมพันธมิตรร่วมมือกันลงนามใน สนธิสัญญาฟงแตนโบล (Treaty of Fontainebleau) ที่ระบุชัดว่า นโปเลียนต้องสละดินแดนฝรั่งเศสทั้งหมด พร้อมเนรเทศพระองค์ให้มีอำนาจปกครองเฉพาะดินแดนบนเกาะเอลบา (Elba) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใกล้กับอิตาลี โดยอนุญาตให้ดำรงสถานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โบนาปาร์ตได้

พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 (Louis XVIII) พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (Louis XVI) ได้สิทธิ์ปกครอง ฝรั่งเศส แทนนโปเลียน แต่ความตั้งใจที่จะฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงของพระองค์สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนอย่างมาก ความนิยมในรัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 จึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แม้จักรพรรดินโปเลียนจะอยู่ห่างไกลออกไป แต่พระองค์ก็ทราบกระแสความไม่พอใจของประชาชน และถือโอกาสหลบหนีออกจากเกาะเอลบากลับมายังแผ่นดินฝรั่งเศสอีกครั้ง พระองค์ขึ้นฝั่งที่เมืองคานส์ (Cannes) ในคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1815 แล้วเดินทางสู่กรุงปารีส

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte)
นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoléon Bonaparte) หรือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1

ขบวนของจักรพรรดินโปเลียนได้รับการต้อนรับจากประชาชนตลอดเส้นทาง มีผู้เข้าร่วมกองทัพของพระองค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังทหารที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ส่งมาสกัด ปฏิเสธคำสั่งผู้บังคับบัญชาในการโจมตี แล้วเปลี่ยนฝั่งมาเข้าร่วมกองทัพของจักรพรรดินโปเลียนแทน แม้แต่นายพลมิเชล เน (Michel Ney) ผู้ให้คำมั่นกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ว่าจะนำจักรพรรดินโปเลียนใส่กรงเหล็กมาทูลถวาย ก็เปลี่ยนใจมาสวามิภักดิ์ด้วยน้ำตานองใบหน้า

เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ตระหนักได้ว่า ไม่อาจต้านทานการคืนสู่อำนาจของจักรพรรดินโปเลียนได้ จึงเสด็จลี้ภัยไปยังเบลเยียม

20 มีนาคม ค.ศ. 1815 จักรพรรดินโปเลียนเสด็จประทับ ณ พระราชวังตุยเลอรี (Tuileries) เริ่มรัชสมัยของพระองค์อีกครั้ง และทั่วกรุงปารีสล้วนประดับประดาด้วยธงสามสี สัญลักษณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศส

การฟื้นคืนอำนาจของนโปเลียนสร้างความแตกตื่นแก่ชาติมหาอำนาจยุโรปอย่างมาก ประกอบกับขณะนั้นมีการประชุมที่กรุงเวียนนา (Congress of Vienna) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 15 กันยายน ค.ศ. 1814 จุดประสงค์คือสร้างสันติภาพและดุลแห่งอำนาจในกลุ่มชาติมหาอำนาจยุโรป

ผู้แทนจากฝรั่งเศสภายใต้รัฐบาลพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ที่ถูกส่งมาประชุม ถอนตัวจากการประชุมทันที พร้อมกันนั้น 4 มหาอำนาจ ได้แก่ อังกฤษ, ออสเตรีย, ปรัสเซีย และรัสเซีย รื้อฟื้นข้อตกลงสนธิสัญญาโชมง (Treaty of Chaumont) เพื่อร่วมกันต่อต้านนโปเลียนอีกครั้ง โดยสนธิสัญญานี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการร่วมมือในการล้มล้างอำนาจของนโปเลียน และป้องกันไม่ให้ราชวงศ์โบนาปาร์ตกลับมาครองฝรั่งเศสอีกนั่นเอง

9 มิถุนายน ค.ศ. 1815 ประเทศสหสัมพันธมิตรร่วมลงนาม สนธิสัญญาเวียนนา (Treaty of Vienna) กำหนดมาตรการลงโทษฝรั่งเศส และสกัดกั้นการขยายอำนาจของฝรั่งเศสในอนาคต มีการจัดสรรดินแดนระหว่างชาติในยุโรปเพื่อเป็นแนวป้องกัน ทำให้ฝรั่งเศสถูกปิดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ทุกทิศทาง

การประชุมที่กรุงเวียนนาของตัวแทนชาติยุโรป

ทางด้านจักรพรรดินโปเลียนทรงประกาศชัดว่า พระองค์ปรารถนาสันติภาพและความสงบสุข ไม่มีความทะเยอทะยานเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่วีรกรรมและความแข็งแกร่งในอดีตของจักรวรรดิฝรั่งเศสยังหลอกหลอนประเทศฝ่ายสหสัมพันธมิตรอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อใจนโปเลียน พร้อมทั้งส่งกองทัพมารวมตัวกันที่เบลเยียม สถานการณ์อันตึงเครียดนี้ทำให้ฝรั่งเศสประกาศสงครามกับชาติสหสัมพันธมิตรอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มีสงครามและการปะทะกันระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพฝ่ายสหสัมพันธมิตรในหลายพื้นที่ ก่อนจบลงใน ยุทธการวอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) ซึ่งเป็นศึกสำคัญที่สุด เพราะทัพของจักรพรรดินโปเลียนที่พยายามบุกยึดฐานที่มั่นของกองทัพอังกฤษ ได้ถูกกองทัพปรัสเซีย (เยอรมนีในเวลาต่อมา) ยกมาตีขนาบจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนของฝรั่งเศสต่อต้านและบีบบังคับให้จักรพรรดินโปเลียนสละราชย์อีกครั้งในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1815

วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1815 กองทัพสหสัมพันธมิตรเข้ายึดกรุงปารีสได้สำเร็จ มีการเชิญพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 กลับมาครองราชย์ในวันถัดมา ถือเป็นการปิดฉากการครองอำนาจรอบที่ 2 ของจักรพรรดินโปเลียนลงอย่างถาวร นับจากวันที่ 20 มีนาคม ถึง 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1815 (110 วัน)

นโปเลียน นักการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคของฝรั่งเศสถูกเนรเทศอีกครั้ง คราวนี้พระองค์ถูกเนรเทศไปไกลกว่าเดิม ยังเกาะเซนต์เฮเลน่า (St. Helena) กลางมหาสมุทรแอตแลนติกอันห่างไกลในฐานะนักโทษ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจวบจนวาระสุดท้ายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1821

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

สุขุมาลย์ สิทธิมงคล. (2523). ยุโรปคริสตวรรษ 19-20. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

อนันต์ชัย เลาหะพันธุ. (2554). ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. 1492-1815. กรุงเทพฯ : ศักดิโสภาการพิมพ์.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 สิงหาคม 2565