การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงการศึกษาของเจ้านายสตรี

นักเรียนและครูโรงเรียนสวนนอก โรงเรียนสำหรับเป็นที่ศึกษาของหม่อมเจ้าและบุตรข้าราชบริพารในสำนักพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ภาพนี้ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 ในภาพ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงยืนด้านขวาของครู หม่อมเจ้าพัฒนายุ ดิศกุล ทรงยืนด้านซ้ายของครู (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับสังคม, องค์กร, บุคคล, สิ่งของ ฯลฯ ที่มีขนาดใหญ่ มีความสำคัญ มี… ย่อมทำให้เกิดการผลกระทบกับ “…เล็ก” ในระดับรองๆ ลงมาเสมอ หากในอีกมุมหนึ่ง ส่วนเล็กๆ ก็สะท้อนเงาของส่วนที่ใหญ่กว่าเช่นกัน ดังตัวอย่างเช่นบทความชื่อ ขัตติยนารีศึกษา : การศึกษาของเจ้านายสตรีจากวิถีจารีตสู่วิถีสมัยใหม่” ที่ วีระยุทธ ปีสาลี นำเสนอไว้ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกรกฎาคม 2565

วีระยุทธ ปีสาลี สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของเจ้านายสตรีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ว่ามีเจ้านายสตรีหลายพระองค์ที่ทรงแตกฉานเรื่องหนังสือจนมีผลงานนิพนธ์เรื่องต่างๆ

ขณะที่สมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งการศึกษาของเจ้านายสตรีเริ่มขึ้นจาก “ตำหนัก” ต่างๆ ในวัง ที่ทำหน้าที่เป็น สำนักวิชาที่ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาสู่การเรียนใน “สถานศึกษา” ที่เริ่มจากโรงเรียนในวัง, โรงเรียนในประเทศ ก่อนจะก้าวหน้าไปสู่การศึกษาในต่างประเทศ

ในที่นี้ขอสรุปเนื้อหาบางส่วน โดยเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการจัดตั้ง โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (พ.ศ. 2417) โรงเรียนสตรีแห่งแรกของไทย ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่ได้รับความนิยมจากบรรดาเจ้านายให้ส่งพระธิดาเข้าไปศึกษาเป็นโรงเรียนของมิชชันนารี เจ้านายหลายพระองค์ ทรงส่งพระธิดาเข้าศึกษาที่นี่ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ฯลฯ ได้ส่งพระธิดามาศึกษาปะปนกับเด็กสามัญ

จากนั้นก็เริ่มมีโรงเรียนของหลวงเกิดขึ้นตามมา เริ่มจากโรงเรียนสุนันทาลัย (พ.ศ. 2423) ที่แรกเริ่มเปิดเป็นโรงเรียนชาย ภายหลังเปลี่ยนเป็นโรงเรียนสตรีและเป็นโรงเรียนกินนอนประจำ ที่หม่อมเจ้าหญิงส่วนใหญ่นิยมเข้าศึกษา ศิษย์เก่าเรียนรุ่นแรกๆ ได้แก่ หม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์, หม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล, หม่อมเจ้าจันทรนิภา เทวกุล, หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล, หม่อมเจ้าพร้อมเพราพรรณ ดิศกุล, หม่อมเจ้าสรรพสมบูรณ์ ดิศกุล, หม่อมเจ้านาราวดี เทวกุล หม่อมเจ้าเฉลียววรรณมาลา กมลาศน์ และ หม่อมเจ้าดัชนี กมลาศน์ เป็นต้น

ภาพครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2453 หน้าอาคารไม้ มีป้ายติดอยู่ด้านหลัง เขียนข้อความบอกชั้นและวันที่ถ่ายว่า “โรงเรียนสัตรีวิทยา นักเรียนชั้นมูลปีที่ 1 วันที่ 9 มีนาคม ศก 128” (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

โรงเรียนราชกุมารี (พ.ศ. 2436) ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง สำหรับพระราชธิดาที่ทรงพระเยาว์ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนตามแบบแผนสมัยใหม่ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เจ้านายฝ่ายในที่เคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนราชกุมารี ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์

โรงเรียนราชินี (พ.ศ. 2447) ที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนสตรีชั้นสูงสำหรับเชื้อพระวงศ์และบุตรสาวของขุนนาง ซึ่งเป็นโรงเรียนราชินีภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี เจ้านายที่เข้าศึกษาส่วนมากจึงเป็นข้าราชสำนักในพระองค์ เช่น หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล, หม่อมเจ้าทักษิณาธร ดิศกุล, หม่อมเจ้าวงศ์ทิพย์สุดา เทวกุล, หม่อมเจ้าสิบพันพารเสนอ โสณกุล ฯลฯ

ถึงรัชกาลที่ 6 ช่วงทศวรรษ 2460 เริ่มมีการอนุญาตให้เจ้านายสตรีออกไปศึกษาที่ต่างประเทศ โดยหม่อมเจ้าฤดีวรวรรณ พระธิดาของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงเป็นเจ้านายผู้หญิงพระองค์แรกที่ได้เสด็จไปศึกษาในต่างประเทศ

ถึงรัชกาลที่ 7 มีเจ้านายผู้หญิงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จออกไปศึกษาในต่างประเทศมากขึ้น แม้จะพระราชทานพระบรมราชานุญาต แต่ก็ “ไม่โปรด” พระราชนิยมดังกล่าว ทั้งมีพระราชบันทึกแนบแจ้งแก่หัวหน้าราชสกุลต่างๆ ทราบถึงว่าไม่โปรดให้หม่อมเจ้าหญิงทูลลาไปศึกษาที่ต่างประเทศ ดังความตอนหนึ่งที่ว่า

“…ในชั้นต้น ข้าพเจ้าสงสัยเสียแล้วว่า การที่ให้หม่อมเจ้าหญิงไปเล่าเรียนที่ต่างประเทศนั้น จะทำให้หม่อมเจ้าหญิงผู้นั้นมีความสุขสบายมากว่าไม่ได้ไปหรือ การไปอยู่ต่างประเทศนั้นมักไปอยู่อย่างสามัญ ได้สมาคมกับคนทุกชั้นฐานกันเอง ได้เที่ยวสนุกสนานต่างๆ อย่างที่เรียกว่า free ครั้นกลับเข้ามาเมืองไทยจะ free อย่างนั้นหาได้ไม่ ถ้าหาสามีไม่ได้ก็ต้องอยู่ในที่บีบคั้นพอใช้ วิชาที่เรียนมาก็จะได้ใช้แต่บางอย่าง เช่น เลี้ยงเด็ก เป็นครู และการพยาบาลบ้าง (ซึ่งไม่จำเป็นไปต่างประเทศ ก็น่าจะเรียนทำได้ดีพอแก่ความประสงค์ละกระมัง) ครั้น free ต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ ก็จะกลับไม่สบายใจเสียยิ่งกว่าที่ไม่เคยสนุกสนานอย่างนั้นมาเลย

สอง ตามธรรมดาหม่อมเจ้าที่ไปอยู่ต่างประเทศนั้นจะต้องอยู่กันอย่างคนชั้นกลาง ไม่ฟุ่มเฟือย ต้องอยู่ในที่เลวๆ พอใช้ เพราะเงินทองไม่พอ ถ้าเป็นหม่อมเจ้าผู้ชายก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นลูกผู้ชายเรา จะว่าให้อยู่อย่างอัตคัตเพื่อเป็นการฝึกหัดให้รู้ความเป็นไปของชีวิตก็ได้ แต่ผู้หญิงนั้นตามธรรมดาผู้มีตระกูลเขาต้องสงวนอยู่บ้าง เขาไม่ยอมให้ไปคลุกคลีกับคนทุกชั้น ยิ่งเจ้าหญิงของประเทศต่างๆ แล้ว ไม่เคยเห็นเลยที่เขาจะไม่สงวนเกียรติยศตามสมควร ไม่ให้เขาปล่อยให้เที่ยววิ่งหลกๆ เข้ามหาวิทยาลัยโน้นนี้อย่างไร เขามักให้เรียนในบ้านและอยู่ในความดูแลของญาติพี่น้องอย่างกวดขัน

นี่หม่อมเจ้าหญิงของเราก็ไปอยู่อย่างเลวๆ เที่ยววิ่งหลกๆ ไปตามเรื่อง ข้าพเจ้าเห็นเป็นการเสียพระเกียรติยศ บางทีจะเถียงได้ว่าไม่ได้ใช้นามว่า Princess ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่ไม่เคยเห็นปิดได้จริงๆ สักทีหนึ่ง ลงท้ายใครๆ ก็รู้ว่าเป็น Princess กันทั้งนั้น อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่า Siamese Princess…”

ดังนั้นการศึกษาในต่างประเทศของเจ้านายสตรีเวลานั้น นอกจากความสามารถ, เงินทุนระหว่างการศึกษาแล้ว ต้องมีญาติที่อยู่ในประเทศนั้นหรือไปเป็นผู้ปกครองด้วย จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาต

แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่เพียงแต่รูปแบบการศึกษาของเจ้านายผู้หญิงในสำนักต่างๆ ก็สิ้นสุดลง เจ้านายชั้นผู้ใหญ่บางพระองค์ทรงอพยพลี้ภัยการเมืองไปประทับในต่างประเทศ ส่วนเจ้านายชั้นรองลงมาและข้าราชสำนักย้ายออกจากตำหนักกลับไปอยู่กับครอบครัวและเครือญาติ การศึกษาในระบบโรงเรียนจึงเข้ามามีบทบาทแทนที่ทั้งการเรียนในประเทศและต่างประเทศ

ดังพระดำรัสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ที่มีต่อ หม่อมเจ้าวุฒิเฉลิม วุฒิชัย (ท่านหญิงน้อย) พระธิดาที่ประสูติหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการศึกษาในโรงเรียนของเจ้านายผู้หญิงว่า

“เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน ต้องรู้จักโลกนอกวัง ลูกจะได้เห็นอะไรมากๆ อยู่ในวังก็เห็นแต่วังเท่านั้น โลกในวังนี้เป็นโลกเล็กๆ แคบๆ น้อยจะต้องรู้จักโลกอื่น มีเพื่อนอื่นๆ จะมีอยู่แค่ในวังไม่ได้ วันหนึ่งเติบโตขึ้น น้อยจะเข้าใจ แล้วจะดีใจเสียอีกที่พ่อให้เข้าโรงเรียน การมีเพื่อนเป็นของสำคัญ วันหนึ่งข้างหน้าเพื่อนนี้จะเป็นที่พึ่งของกันและกันได้ น้อยต้องมีเพื่อน ต้องมีความรู้ ต้องเรียนหนังสือดีๆ ลูกเข้าใจไหม

พ่ออยากให้ลูกๆ ของพ่อทุกคนเข้าใจโลกสมัยใหม่ เข้าใจถึงความไม่แน่นอนในชีวิต โดยไม่ต้องโดนพร่ำสอน ให้พบเห็นเผชิญกับเหตุการณ์เอง น้อยเกิดในโลกสมัยใหม่ การมีเพื่อนนอกวังสำคัญ ต่อไปภายหน้า ยามยากเขาจะได้มีเพื่อนที่พึ่งกันได้ ไม่ทางกายก็ทางใจ และเพื่อนที่คบกันแต่เด็กนั้น มักจะมีความผูกพันยั่งยืน ไม่เป็นแต่เพียงผิวเผิน”

หรือประสบการณ์ของศิษย์เก่าโรงเรียนราชินีอย่าง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา-พระองค์เจ้าพระองค์แรกที่เข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไป ที่ตรัสว่า

“การได้ไปโรงเรียนนี้มีประโยชน์ต่อข้าพเจ้าจริงๆ เพราะเมื่อข้าพเจ้าอายุ 11 ปี มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ต้องเสด็จไปอยู่นอกประเทศไทย พี่น้องที่เคยเล่นๆ อยู่ด้วยกันก็ต้องตามเสด็จเด็จพ่อของตัวออกไปด้วย…ยังดีที่ข้าพเจ้าได้ไปโรงเรียนมีเพื่อนที่โรงเรียนมาแทนที่และกลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้าทั้งในยามเด็กจวบจนกระทั่งปัจจุบัน”

ที่กล่าวมาข้างต้นก็แค่เนื้อหาบางส่วนที่ วีระยุทธ ปีสาลี นำเสนอไว้ ขอได้โปรดติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกรกฎาคม ว่า ส่วนเล็กๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของเจ้านายสตรี สะท้อนการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของสังคมไทยอย่างไร

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กรกฎาคม 2565