ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
หมอฝรั่งในอดีตชี้ คนไทยรักสะอาด แต่กำจัดขยะง่ายๆ โยนทุกสิ่งทุกอย่างลงในแม่น้ำ
ช่วงที่การสาธารณสุขของคนไทยในอดีตยังไม่ได้เจริญก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน วิถีชีวิตของคนสมัยก่อนมักผูกพันกับสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการอาบ ดื่ม กิน หรือซักล้าง ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยได้รับเชื้อโรคโดยไม่ทันระวัง จาก “ขยะ” หรือสิ่งอันใดที่ไม่พึงประสงค์ เพราะคนสยามสมัยนั้นมัก “โยนทุกสิ่งทุกอย่างลงในแม่น้ำ”
โรคที่เป็นกันส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร อาทิเช่น โรคท้องร่วง อหิวาตกโรค โรคไทฟอยด์ และโรคบิด
ตามข้อมูลที่ ดร. นนทพร อยู่มั่งมี ผู้เขียนบทความ “พัฒนาการของการใช้ยาฝรั่งในกรุงสยาม” ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมกราคม 2552 สืบค้นพบว่า ประชาชนในอดีตต้องเผชิญโรคภัยต่าง ๆ รวมถึงโรคระบาดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
กระทั่งจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลมาสู่รูปแบบใหม่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เริ่มโดยคณะมิชชันนารีที่เข้ามาพร้อมกับการเผยแพร่ศาสนา จากนั้นการใช้ยาฝรั่งก็ได้แพร่หลายไปสู่กลุ่มคนหลายระดับโดยที่รัฐก็มีส่วนส่งเสริม
สำหรับสภาพวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต มัลคอล์ม สมิธ นายแพทย์ที่เข้ามารับใช้ราชสำนัก เป็นผู้ถวายการดูแลสมเด็จพระนางเจ้า เสาวภาผ่องศรี ในสมัยรัชกาลที่ 6 บันทึกไว้ใจความตอนหนึ่งว่า (จัดย่อหน้าใหม่ – กองบรรณาธิการ)
“… แหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชาวสยาม คือ น้ำในแม่น้ำในกรุงเทพฯ ระดับน้ำมักจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ ดังนั้น ตลอดฤดูฝน ผู้คนจึงจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้สำหรับใช้ซึ่งคนที่พิถีพิถันจริงๆ จึงจะทำเช่นนั้น นับจากเดือนตุลาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย น้ำในแม่น้ำลำคลองจึงเริ่มแห้ง และขุ่นลงทุกที และเมื่อล่วงเข้าเดือน เมษายนน้ำจะเริ่มมีรสชาติกร่อย
เมื่อถึงเวลานั้นอหิวาตกโรคจะแพร่ระบาดเป็นประจำทุกปี ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ผู้คนต้องจบชีวิตลงด้วยโรคร้ายนี้คราวละหลายๆ พันคน…
โดยส่วนตัวแล้วชาวสยามมีนิสัยรักความสะอาด ส่วนใหญ่จะอาบน้ำกันวันละสองครั้ง แต่กรรมวิธีในการกำจัดขยะมูลฝอยของพวกเขายังคงล้าสมัยอยู่มาก ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามเรือนแพหรือตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลองมีวิธีจำกัดขยะอย่างง่ายๆ คือ โยนทุกสิ่งทุกอย่างลงในแม่น้ำ…”
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บก็คือ ความไม่ก้าวหน้าด้านการจัดเก็บสิ่งปฏิกูลของเสียจากการขับถ่ายรวมถึง “ขยะ” ยังไม่ดีพอนัก ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรวมเป็นแหล่งสกปรกที่ชุมไปด้วยของเสียต่าง ๆ ชุมชนที่สะท้อนให้เห็นถึงความสกปรกเหล่านี้ ได้แก่ ชุมชนชาวจีนบริเวณถนนสำเพ็ง เยาวราช และเจริญกรุง อันแสดงถึงจำนวนประชากรที่อาศัยกันอย่างหนาแน่นทำให้เกิดปฏิกูลของเสียจำนวนมาก
สภาพการสุขาภิบาลของกรุงเทพฯ ส่งผลต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรค โรคที่พบได้บ่อย และสร้างความเสียหายในสมัยรัตนโกสินทร์คือ อหิวาตกโรค ที่มีระบาดอย่างหนักในช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2363 โรคอหิวาต์จึงเป็นตัวอย่างของผลจากสภาพการสุขาภิบาลที่ขาดสุขลักษณะอันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายโรคที่บั่นทอนสุขภาพของคนไทย เช่น ไข้ทรพิษ และกาฬโรค ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน
อ่านเพิ่มเติม :
- อหิวาตกโรคระบาดสมัยร.2 ศพเกลื่อนแม่น้ำ ยิงปืนใหญ่-สวดพระปริตร-รักษาศีล ไล่โรคระบาด
- เจ้านายและบุคคลสำคัญที่ป่วยด้วย “โรคระบาด” ในประวัติศาสตร์ไทย
อ้างอิง :
นนทพร อยู่มั่งมี. “พัฒนาการของการใช้ยาฝรั่งในกรุงสยาม”, ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2552.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มีนาคม 2565