ไฮน์ริช ชลีมานน์ นักโบราณคดีรุ่นบุกเบิก จากขายของชำ มาเป็นผู้ขุดค้นเมืองทรอยได้อย่างไร

ไฮน์ริช ชลีมานน์ (Heinrich Schliemann) นักโบราณคดีผู้ศึกษาด้วยตนเอง ความพยายามของเขานำไปสู่การค้นพบเมืองทรอย (ด้านหลังเป็นซากเมืองทรอยที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน)

ไฮน์ริช ชลีมานน์ (Heinrich Schliemann) เป็นชาวเยอรมัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1822 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Buckow ในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ต่อมาได้รับการเลี้ยงดูและใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เมือง Ankershagen ในแคว้น Mecklenburg-Schwerin ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี และได้เรียนหนังสืออย่างเป็นระบบในโรงเรียนที่เมือง Neustrelitz

บิดาของเขาเป็นพระนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งรู้ภาษากรีกและละตินอย่างดี และที่สำคัญคือบิดามักชวนชลีมานน์ไปนั่งใต้ต้นไม้หลังบ้าน (ต้น lime tree) แล้วจะอ่านและเล่าตำนานต่างๆ เกี่ยวกับกรีกและโรมันให้ฟังเสมอ บิดาของเขาเคยให้ของขวัญวันคริสต์มาสเป็นภาพวาดเมืองทรอยขณะถูกไฟเผาด้วย

เมื่ออายุได้ประมาณ 7-8 ขวบ ชลีมานน์ก็เริ่มอ่านกวีนิพนธ์ของโฮเมอร์ (Homer) ซึ่งเป็นกวีชาวกรีกชื่อดังในช่วงยุคมืดของกรีก เรื่อง Iliad และ Odyssey ซึ่งมีที่มาจากประเพณีการบอกเล่า ชลีมานน์อ่านวรรณกรรมระดับมหากาพย์ดังกล่าวอย่างดูดดื่มและประทับใจในงานของโฮเมอร์มาก บทกวีนิพนธ์ของโฮเมอร์เรื่อง Iliad มีการกล่าวถึงสงครามของพวกโทรจัน (Trojan War) โดยเจ้าชายปารีสแห่งกรุงทรอย (Troy) ได้ลักพาเฮเลน ซึ่งเป็นมเหสีของกษัตริย์กรีกแห่งเมืองสปาร์ตา การลักพาตัวมเหสีและการฆ่าชาวกรีกนี้ทำให้น้องชายของกษัตริย์แห่งสปาร์ตานำกองทัพเข้าโจมตีเมืองทรอย หลังจากสู้รบกันนานถึง 10 ปี กองทัพกรีกก็ชนะสงครามและได้เผากรุงทรอยลงอย่างราบคาบ

ชลีมานน์เชื่อว่าเรื่องราวในวรรณกรรมของโฮเมอร์เป็นเรื่องจริงและใฝ่ฝันว่าสักวันเขาจะตามหาเมืองทรอยให้ได้ แต่การจะทำให้ฝันเป็นจริงได้เขาต้องมีฐานะร่ำรวยเสียก่อน

ชไลมานน์มีประวัติน่าสนใจและโลดโผนไม่ใช่เล่น เขาเคยทำงานเป็นคนขายของชำอยู่ 5 ปี (1836-1841) จนมีร้านขายของเป็นของตนเอง โดยขายปลาแฮริ่ง นม เกลือ และมันฝรั่งบดสำหรับกลั่นสุรา ในปี 1841 เขาเดินทางไปเมืองฮัมบูร์ก ซึ่งเป็นเมืองท่าและมีเรือมากมาย เขาตัดสินใจทิ้งกิจการขายของชำ แล้วจากนั้นออกเดินเรือ (เรือใบ) เพื่อมุ่งไปทวีปอเมริกาใต้ (ประเทศโคลัมเบียและเวเนซุเอลา) แต่เรือเกิดอับปางใกล้ชายฝั่งของประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาสลบและถูกนำส่งโรงพยาบาลในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาก็หางานทำ โดยได้งานเป็นเสมียนในกรุงอัมสเตอร์ดัม ได้รับค่าจ้างต่ำมากและเช่าห้องเล็กๆ อยู่คนเดียว พร้อมกันนั้นก็ได้เรียนภาษาต่างประเทศไปด้วย

หนังสือบางเล่มบอกว่าเขาสามารถพูดได้คล่องแคล่วถึง 15 ภาษา ภาษาที่เขาบอกว่าเรียนง่ายที่สุดคือดัตช์ โปรตุกีส สเปนิช และอิตาเลียน เขาขยันเรียนภาษาต่างประเทศ เขามักฝึกออกเสียงภาษาต่างๆ โดยเปล่งเสียงดังๆ จนเพื่อนบ้านรำคาญ และเขาต้องย้ายที่พักอยู่เรื่อยๆ

ชลีมานน์ทำงานเข้าตาเจ้าของร้าน และเจ้าของร้านเห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดและขยัน จึงมอบตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายติดต่อกับต่างประเทศให้เขา ในปี 1846 เขาถูกส่งไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในรัสเซีย ที่ซึ่งต่อมาทำให้เขากลายเป็นพ่อค้าขายของที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาในช่วงระหว่างปี 1851-1852 ซึ่งเป็นยุคตื่นทองในอเมริกา เขาก็เดินทางไปทำธุรกิจที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และได้รับสัญชาติอเมริกันด้วย แล้วเดินทางกลับมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกครั้ง แล้วได้แต่งงานมีครอบครัวที่นี่

น่าสังเกตว่าหนังสือส่วนมากไม่ค่อยกล่าวถึงครอบครัวของเขา มีเพียงบางเล่มที่กล่าวว่าเขาแต่งงานครั้งแรกกับภรรยาชาวรัสเซีย แต่แล้วก็หย่า ต่อมาในปี 1869 เขาได้แต่งงานครั้งที่สองกับสาววัยรุ่น (อายุเพียง 16 ปี) ชาวกรีก ชื่อโซเฟีย (Sophia) (ชลีมานน์คงจะลุ่มหลงเรื่องราวของกรีกมาก จึงแต่งงานกับหญิงสาวสวยชาวกรีกดังกล่าว)

โซเฟีย ภรรยาสาวชาวกรีกของชลีมานน์ ใส่เครื่องประดับที่ค้นพบที่เมืองทรอย

ชลีมานน์มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยจากการดำเนินธุรกิจ หนังสือบางเล่มบอกว่าเขาเป็นพ่อค้าระดับนานาชาติ (international merchant) บางเล่มก็บอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง (businessman) ในหนังสือบางเล่มก็บอกว่าเขาเป็นขุนนางผู้ดี (aristocrat) ซึ่งนิยมชมชอบประวัติศาสตร์และวรรณคดี

ในวัย 40 ต้นๆ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ เขาก็ตัดสินใจหันหลังให้วงการธุรกิจอย่างเด็ดขาด และมุ่งมั่นเรียนวิชาโบราณคดีอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยการอ่านหนังสือและการท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่มีโบราณสถานต่างๆ อยู่เสมอ เขาออกเดินทางท่องเที่ยวตามประเพณีนิยมของขุนนางและคนชั้นกลางในยุคนั้น แต่การเดินทางของเขาไม่ได้ไปเพื่อพักผ่อนอย่างเดียว ชลีมานน์เดินทางไปอิตาลี กรีซ ตุรกี และที่อื่นๆ เพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตและทำความฝันในวัยเด็กให้เป็นจริง เขาได้จัดพิมพ์รายงานการเดินทางของเขาซึ่งคงมีคุณค่ามากจนมีผู้เสนอปริญญาเอกให้เขาในปี 1869

จากมนต์เสน่ห์ของบทกวีของโฮเมอร์และความเชื่อฝังใจมาตลอด ว่าวรรณกรรมของโฮเมอร์แต่งจากเรื่องจริงและกรุงทรอยก็น่าจะมีอยู่จริง เขาได้พยายามค้นหากรุงทรอยในหลายพื้นที่ของยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออกซึ่งเป็นที่มาของวรรณกรรมของโฮเมอร์ ในที่สุดในปี 1870 เขาก็ได้รับการชักชวนจากแฟรงค์ กาลเวิร์ท (Frank Calvert) ซึ่งเป็นนักสะสมของเก่า (antiquarian) ว่ามีเนินดินและซากปรักหักพังแห่งหนึ่งชื่อฮิสซาร์ลิค (Hissarlik) ในตุรกี ซึ่งเชื่อว่าอาจจะเป็นกรุงทรอย ชลีมานน์ไม่รอช้าเขาเดินทางไปที่แหล่งดังกล่าว และพบว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีขนาดใหญ่ (เป็นเนินดินรูปไข่ ยาว 3 ไมล์) และตัดสินใจขุดค้นเนินดินขนาดใหญ่นั้น เขาระดมจ้างคนงานกว่า 100 คนเพื่อช่วยขุดแหล่งโบราณคดีฮิสซาร์ลิคเป็นระยะๆ ระหว่างทศวรรษ 1870s-1880s มีคนงานหลายรุ่นเข้า-ออกเป็นระยะ จนอาจนับเป็นโครงการศึกษาทางโบราณคดีระยะยาวรุ่นแรกก็ได้

ควรกล่าวด้วยว่าการทำงานขุดค้นในครั้งนั้นเป็นไปอย่างลำบาก เช่น มียุงชุมมากและนำเชื้อโรคมาสู่คนงานหลายคน นอกจากนี้คนงานบางคนยังแอบขโมยโบราณวัตถุไปขาย เป็นต้น แต่ชลีมานน์ก็ไม่ย่อท้อ ยังคงทำงานต่อไป มีอยู่วันหนึ่งในปี 1873 เขาขุดลงไปแล้วพบวัตถุส่งประกายแวววาว แล้วเขาก็สั่งให้คนงานหยุด บอกว่าเป็นวันเกิดของเขา ให้คนงานกลับบ้านได้ เมื่อคนงานกลับไปหมดแล้วเขากับภรรยาก็ขุดค้นต่อ ซึ่งได้พบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญหลายชิ้น เช่น กริชฝังทองและเงิน และเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ ชลีมานน์ลองให้ภรรยาเขาสวมใส่เครื่องประดับและวาดภาพไว้ด้วย ชุดโบราณวัตถุเหล่านี้รู้จักกันต่อมาในนาม “Priam”s Treasure” (ซึ่งถูกส่งไปที่กรุงเบอร์ลิน ในเยอรมนี และหายไปหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนต่อมามีผู้พบสมบัติดังกล่าวในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย)

ชลีมานน์ไม่ได้ขุดค้นที่เมืองทรอยเท่านั้น แต่ยังขุดค้นเมืองโบราณอีกหลายเมือง โดยเฉพาะในกรีซ เช่น เมือง Mycenae, Orchomenos, Tiryns และกำลังจะขุดค้นที่เมือง Knossos แต่เสียชีวิตเสียก่อน แต่ต่อมานักโบราณคดีรุ่นหลังก็ได้สานงานของเขาต่อ

ชลีมานน์ได้รับการกล่าวถึงและถูกบันทึก (อย่างสั้นๆ) ไว้ในหนังสือ ตำรา และสารานุกรมเกือบทุกเล่มเกี่ยวกับวิชาโบราณคดีและอารยธรรมโบราณ ว่าเป็นนักโบราณคดีที่ผันตัวเองมาจากนักธุรกิจ และเป็นนักโบราณคดีรุ่นบุกเบิกคนหนึ่งของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และมีชื่อเสียงโด่งดังจากการขุดค้นอย่างต่อเนื่องที่เมืองทรอย หรือแหล่งโบราณคดีฮิสซาร์ลิคซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลอีเจียน (Aegean Sea) ทางตะวันตกของประเทศตุรกี ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับประเทศกรีซปัจจุบัน

ในแง่โบราณคดี แม้ว่าวิธีการศึกษาโดยเฉพาะการขุดค้นของชลีมานน์จะค่อนข้างหยาบ และมุ่งเน้นการค้นหาโบราณวัตถุชิ้นที่สวยงามและทำลายวัตถุอื่นๆ ที่ไม่น่าสนใจ มากกว่าการให้ความสนใจบริบทและรายละเอียดต่างๆ ตามมาตรฐานงานโบราณคดีปัจจุบัน แต่ก็เข้าใจได้ เพราะในยุคนั้นวิชาโบราณคดีเพิ่งเริ่มก่อตั้งและไม่มีเทคนิควิธีที่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน และคงไม่มีใครปฏิเสธว่างานของชลีมานน์เป็นการจุดประกายการศึกษาทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่แถบทะเลอีเจียน และอารยธรรมกรีกในสมัยต่อมาด้วย

นอกจากนี้งานของชลีมานน์ยังเป็นตัวอย่างการวิจัยทางโบราณคดีโดยใช้บันทึกและเอกสารทางประวัติศาสตร์ (ในกรณีของชลีมานน์คือวรรณกรรมของโฮเมอร์ เรื่อง Iliad) เป็นแนวทางในการศึกษาด้วย แม้ว่าต่อมาจะพบว่ารายงานของเขามีข้อผิดพลาดอยู่มากและไม่ใช่งานวิจัยที่ดีในสายตานักโบราณคดีปัจจุบัน ชลีมานน์สามารถใส่เรื่องราวลงในแหล่งโบราณคดีและโบราณวัตถุที่เขาขุดค้นอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชน และทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจวิชาโบราณคดีมากขึ้น

ชลีมานน์ยังเป็นตัวอย่างสำหรับนักโบราณคดีรุ่นหลังในเรื่องการอุทิศเวลาในการศึกษาทางโบราณคดี ชลีมานน์ได้ทุ่มเทเวลาศึกษาเมืองทรอยและแหล่งโบราณคดีอื่นๆ จนวาระสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าเขาจะยังต้องการสานงานต่อแต่ไม่มีโอกาส

ปัจจุบันเมืองทรอยได้รับการพัฒนาให้เป็นอุทยานแห่งชาติของตุรกี มีนักท่องเที่ยวมาชมไม่น้อยกว่าปีละ 400,000 คน และยังมีนักโบราณคดีชาวเยอรมัน ชื่อ Manfred Korfmann จาก Tuebingen University ศึกษาขุดค้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1988 จนถึงปัจจุบัน

ไฮน์ริช ชลีมานน์ ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันในวันคริสต์มาสที่เมืองเนเปิลส์ (Naples) ประเทศอิตาลี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1890


(เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อ 7 เมษายน พ.ศ. 2560)

หนังสืออ้างอิง

Daniel, Glyn E. A Hundred Years of Archaeology. Gerald Duckworth, London, 1950.

Duiker, William J. and Spielvogel, Jackson J. World History, Volume One : To 1800. Third edition. Wadsworth, Belmont, California, 2001.

Fagan, Brian M. In the Beginning : An Introduction to Archaeology. Sixth edition. Scott, Foresman/Little Brown College, Glenview, Illinois, 1988.

Mee, Christopher. Schliemann at Troy and Mycenae. In The Story of Archaeology, edited by Paul G. Bahn, pp. 98-99. Weidenfeld & Nicolson, London, 1996.

Sharer, Robert J. and Ashmore, Wendy. Archaeology : Discovering Our Past. Second edition. Mayfield Publishing, Mountain View, California, 1993.

Shippen, Katharine B. Men of Archaeology. Dennis Dobson, London, 1964.

Stiebing, William H., Jr. Uncovering the Past : A History of Archaeology. Oxford University Press, New York, 1994.

Toner, Mike. The Past in Peril. Southeast Archaeological Center, National Park Service, Tallahassee, 2002.

Traill, David A. Heinrich Schliemann. In The Oxford Companion to Archaeology, edited by Brian M. Fagan, p. 268. Oxford University Press, New York, 1996.

Trigger, Bruce G. A History of Archaeological Thought. Cambridge University Press, Cambridge, 1995.

Wenk, Robert J. Patterns in Prehistory. Third edition. Oxford University Press, New York, 1990.