กิตติวุฑโฒ กับแนวคิด ฆ่าคน? บาปเล็กน้อย บุญกุศลมากกว่า

พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ กิตติวุฑโฒ ภิกขุ (ภาพจากห้องสมุดภาพมติชน)

ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา ยังคงเป็นประวัติศาสตร์ที่สังคมไทย “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เพราะความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อกันในวันนั้นได้ทำลายคำว่า “สยามเมืองยิ้ม” “เมืองไทยเมืองพุทธ” จนไม่เหลือชิ้นดี

ที่สำคัญ มูลเหตุหรือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงในวันนั้นก็เกี่ยวกับพุทธศาสนาในบ้านเรา ทั้งการที่จอมพลถนอม กิตติขจรบวชเป็นสามเณรจากต่างประเทศแล้วเข้ามาบวชพระที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทั้งการปล่อยข่าวว่านักศึกษาจะมาเผาวัดบวรนิเวศวิหาร

ที่สำคัญคือ การให้สัมภาษณ์ของพระภิกษุรูปหนึ่ง

กิตติวุฑโฒ ภิกขุ หรือภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น “พระเทพกิตติปัญญาคุณ” ให้สัมภาษณ์หนังสือจตุรัส ผมขอยกมาดังนี้

จตุรัส หนังสือข่าวกรองประจำสัปดาห์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 51 วันที่ 29 มิถุนายน 2519 ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ กิตติวุฑโฒ ภิกขุ

จตุรัส: การฆ่าฝ่ายซ้ายหรือคอมมิวนิสต์บาปไหม

กิตติวุฑโฒ: อันนั้นอาตมาก็เห็นว่า ควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ใช่ถือว่าเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือ ต้องตั้งใจ เราไม่ได้ฆ่าคนแต่ฆ่ามาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน”

จตุรัส: ผิดศีลไหม

กิตติวุฑโฒ: ผิดน่ะมันผิดแน่ แต่ว่าผิดนั้นมันผิดน้อย… ถึงแม้จะฆ่าคนก็บาปเล็กน้อยแต่บุญกุศลได้มากกว่า เหมือนเราฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ไอ้บาปมันก็มีหรอกที่ฆ่าปลาแต่เราใส่บาตรพระได้บุญมากกว่า”

จากสิ่งที่กิตติวุฑโฒกล่าว ทำให้กลุ่มต่อต้านขบวนการนักศึกษาใช้เป็นวาทกรรมเพื่อกระทำความรุนแรงในวันนั้น เพราะเชื่อว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ที่จะมาบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์จนหมดสิ้น การฆ่าคนพวกนั้นย่อมถูกต้องชอบธรรมแล้ว

…………

แนวคิดที่ว่า การฆ่าผู้ทำลายพุทธศาสนามีบาปน้อย เพราะพวกนี้เป็นคนไม่เต็มคน และยังได้บุญเพราะปกป้องพุทธศาสนานั้น กิตติวุฑโฒไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก แต่เป็นแนวเรื่องเล่าที่อยู่ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเถรวาทเลยทีเดียว ผมไม่ทราบว่ากิตติวุฑโฒทราบเรื่องนี้ไหม แต่กิตติวุฑโฒได้ทำให้มันแพร่หลายในสังคมไทย

ศรีลังกาซึ่งเป็นต้นกำเนิดพุทธศาสนาแบบเถรวาท ไม่ได้เพียงส่งพระธรรมคำสอนและจารีตประเพณีมาเท่านั้น แต่ยังส่งเอาปมปัญหาทางศาสนาของตนมายังดินแดนอื่นที่มีบริบทคล้ายๆ กันมายังบ้านเราด้วย

กล่าวคือ ลังกามีประวัติศาสตร์การต่อสู้กันของกษัตริย์ฝ่ายสิงหลและทมิฬอยู่ตลอด ทมิฬซึ่งนับถือฮินดูกลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะมิได้เป็นเพียงอริราชศัตรูระหว่างอาณาจักรกับอาณาจักรเท่านั้น ทว่าเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาด้วย

แม้แต่คำว่า “ทมิฬ” ยังกลายเป็นคำที่มีความหมายเชิงลบในสังคมพุทธบ้านเรา ที่ได้รับเอาแนวคิดลังกามา เช่นคำด่าว่า “ใจทมิฬหินชาติ”

ที่จริงไม่เพียงแต่พวกทมิฬเท่านั้น แม้แต่พุทธศาสนานิกายอื่นๆ ก็ถูกเถรวาทลังกามองว่าเป็นตัวร้าย ถึงขั้นเรียกว่าเป็นพวกเดียรถีย์ก็มี

คัมภีร์ “มหาวงศ์” ซึ่งเล่าเรื่องการประดิษฐานพุทธศาสนาในลังกาและประวัติศาสตร์ลังกา แต่งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 โดยพระมหานามะ คัมภีร์นี้นับเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในฝ่ายเถรวาท มีเรื่องเล่าหนึ่งในมหาวงศ์ที่สะท้อนแนวคิดแบบเดียวกันกับกิตติวุฑโฒ คือ เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามินีหรือพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย

พระเจ้าทุฏฐคามินี้เป็นกษัตริย์ที่ชาวสิงหลยกย่องมาก พระองค์รบพุ่งทำสงครามกับพวกทมิฬซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในลังกาตอนเหนือจนขับไล่พวกทมิฬออกไปได้ ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก ได้ก่อสร้างเจติยสถานและวัดวาอารามมากมาย แต่การสังหารผู้คนในสงครามทำให้กังวลพระทัยว่าได้ทรงทำบาปมหันต์หรือไม่ ครั้นแล้วจึงได้ทรงสอบถามกับ “พระอรหันต์” องค์หนึ่ง ซึ่งมีวิสัชนาว่า

“การฆ่าเพื่อบำรุงศาสนาไม่ห้ามสวรรค์ การฆ่าคนทุศีลหนึ่งคนเป็นบาปเท่ากับฆ่าคนครึ่งคน เพราะคนที่ไม่นับถือไตรสรณคมน์หรือคนไม่มีศีล 5 ขาดมนุษยธรรม มีความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ตายไปก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน พระองค์ได้ทำให้พระธรรมของพระพุทธองค์รุ่งเรืองในทิศต่างๆ โปรดจงเบาพระทัยเถิด”

เห็นชัดว่าตรรกะของ “พระอรหันต์” ในคัมภีร์มหาวงศ์ มิได้แตกต่างจากกิตติวุฑโฒแม้แต่น้อย แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นตำนานที่ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร แต่อย่างน้อยพระมหานามะผู้ประพันธ์คัมรีมหาวงศ์คงจะคิดเช่นนั้นจริงๆ

ที่สำคัญ ในตอนจบของคัมภีร์มหาวงศ์เล่าว่า เมื่อพระเจ้าทุฎรฐคามณีอภัยใกล้จะสวรรคตก็ทรงเห็นเทวดานำราชรถมารอรับถึง 6 คัน จากสวรรค์ชั้นต่างๆ (เรียกว่ามาแย่งตัวกันเลยทีเดียว) เมื่อสวรรคตแล้วก็ได้ไปจุติยังสวรรค์ชั้นดุสิตทันที เพราะกุศลสมภารที่ได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนานั่นเอง

ที่จริงตำนานฝ่ายเถรวาทของลังกายังมีเรื่องคล้ายๆ กันนี้อีก คือ เรื่องพระเจ้าอโศกชำระพระศาสนาโดยสั่งให้อำมาตย์ไปบังคับให้พระลงอุโบสถ เพราะพวกพระเห็นว่ามีอลัชชี (ซึ่งหมายถึงพุทธศาสนานิกายอื่นๆ) ปะปนอยู่ในอารามของตน จึงไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกัน อำมาตย์เผลอฆ่าพระที่ขัดขืนคำสั่งตน พระเจ้าอโศกทรงร้อนพระทัยว่าพระองค์ต้องรับบาปหรือไม่ พระอรหันต์โมคคัลลีบุตรติสสะเถระจึงวิสัชนาว่าไม่ทรงมีบาปเพราะไม่มีเจตนาฆ่า แต่มีเจตนาดีในการรักษาพระศาสนา

แม้กรณีพระเจ้าอโศกจะต่างกับพระเจ้าทุฏฐคามินี แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “พุทธศาสนา” นั่นเอง การปกป้องพุทธศาสนาย่อมเป็นสิ่งที่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด และภาระนี้เป็นภาระสำคัญของ “ธรรมราชา”…

ดังนั้น กษัตริย์ในประเทศพุทธเถรวาทได้ใช้ความคิดนี้สร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองด้วยการแสดงพระองค์ว่าทรงปกป้องพระศาสนาหรือได้ทรงชำระพระศาสนาแล้ว

แม้แต่ในพม่า มีคนเล่าให้ผมฟังว่าผู้นำเผด็จการทหารพม่า เมื่อเข้ามามีอำนาจก็ต้องทำนุบำรุงวัดวาอาราม หรือสร้างวัดใหญ่โต และเจดีย์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความนิยมในหมู่ศาสนิกชน แสดงให้คนเชื่อว่าอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าการปกครองแบบพวกฝรั่งมังค่าซึ่งอาจทำลายพระศาสนาตอนไหนก็ไม่รู้

การยกชูศาสนาหรือไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถูกนิยามว่าเป็น “ความดี” ไว้เหนือสิ่งอื่นใด สุดท้ายก็จะทำให้ละเลยความเป็นมนุษย์ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้ศาสนาหรือความดีสูงสุดนั้น ไม่ว่าเราจะต้องฆ่าแกงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแค่ไหนก็ตาม

หากเราไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบ 6 ตุลาเกิดขึ้นซ้ำ เราต้องไม่มีคนที่คิดแบบกิตติวุฑโฒหรือ “พระอรหันต์” องค์นั้นในมหาวงศ์อีกต่อไป

แต่จะเป็นไปได้ต่อเมื่อเราตระหนักว่า เพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่เราต้องถนอมรักษาไว้ ไม่ใช่ศาสนาหรือความเชื่อหรือสถาบันใดๆ มองให้เห็นว่ามีส่วนใดในเรื่องเล่า ประเพณี คำสอนหรือท่าทีของศาสนาที่จะเป็นอุปสรรคต่อความรักในเพื่อนมนุษย์ เราพึงแยกแยะแล้วเลือกเฟ้นด้วยความรอบคอบหรือทิ้งไปหากจำเป็น

เหมือนที่องค์ทะไลลามะตรัสว่า ศาสนาที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ ความรัก


หมายเหตุ


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก 20 ตุลาคม 2564