วัดเฉลิมพระเกียรติฯ วัดสุดท้ายในพระราชศรัทธารัชกาลที่ 3

ภาพวาดแสดงอาณาบริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติฯ (ภาพจาก "สมเด็จพระมหาเจษฎาธิบดินทร์")

สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุขฯ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช) ได้ทรงสอบสวนอย่างถี่ถ้วนกระทั่งทรงพระนิพนธ์เป็นหนังสือเรื่อง ราชินิกูลรัชชกาลที่ 3 โดยเป็นพระนิพนธ์เล่มเดียวที่กล่าวถึง บรรพชนของกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลยไว้ดังนี้

…ราชินิกูลในรัชชกาลที่ 3 ชั้นที่ 1

บุรพชนทางพระชนก [ของสมเด็จพระศรีสุลาไลย] ชนกและชนนีขององค์พระชนกซึ่งเปนราชินิกุลชั้น 1 นั้น ว่าเปนใคร และนามใด มีบุตร์ (ทราบได้แต่) องค์พระชนกองค์เดียว นามว่า จัน มีบรรดาศักดิ์เปนพระยานนทบุรี เปนราชินิกุลชั้น 2 เมื่อ พระชนกจันได้เปนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีแล้วไปตั้งเคหะสถานอยู่ณะจังหวัดนั้น สืบสกูลต่อมาฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สกูลเมืองนนท์ ภายหลังในตำบลนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระอารามถวายสมเด็จพระศรีสุราไลย

พระบรมราชชนนี อันมีนามปรากฏว่า “วัดเฉลิมพระเกียรติ์” ซึ่ง เปนเครื่องหมายสำคัญอยู่ในทุกวันนี้

บุรพชนทางพระชนนีฝ่ายชนก (คือบิดาของมารดาของ สมเด็จพระศรีสุลาไลย) ซึ่งเปนเชื้อสายแขกสุนีนั้น กล่าวกันว่ามา แต่สกูลเจ้าพระยาจักรี ครั้งกรุงธนบุรี (ทราบว่าชื่อ หมุด) ซึ่งเดิมเปนหลวงศักดิ์นายเวรครั้งกรุงศรีอยุธยา คือผู้ที่ปรากฏชื่อในพงศาวดารว่า เจ้าพระยาจักรีแขก นั้น เจ้าพระยาจักรี (แขก) มีบุตร์ ที่ควรกล่าว 2 คน คน 1 ทราบว่าชื่อ หมัด เดิมได้เปน พระยาราชบังสัน แล้วเลื่อนที่เปนพระยายมราช สมญาปรากฏว่า เจ้าพระยายมราชแขก อีกคน 1 ชื่อใดไม่ปรากฏเข้าใจว่าชื่อ หวัง เดิมเปนพระชลบุรีอยู่ก่อน ครั้นถึงรัชชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ แรกเถลิงถวัลยราชสมบัติ โปรดเกล้าฯ ให้เปนพระยา ราชวังสัน เข้ามารับราชการอยู่ในกรุง…

ผู้น้องคงเปน พระยาราชวังสัน ถ้าจะให้เข้าใจชัดเจน ก็คือแปลว่า พระยาราช (สกูลมาแต่) หวังหะสัน พระยาราชวังสันผู้นี้ ตั้งเคหะสถานอยู่ที่ริมวัดหงส์รัตนาราม ในคลองบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรีใต้ และเคหะสถานนี้จะตั้งใหม่ หรือจะเปนสถานที่เดิมของสกูลแต่ครั้งเจ้าพระยาจักรี (แขก) ผู้บิดาก็เปนได้ เมื่อนามเดิมของพระยาราชวังสันผู้นี้ไม่ทราบแน่ จึงเปนแต่เรียกว่า พระราชวังสัน บ้านริมวัดหงส์ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จักเรียกว่า พระราชวังสัน (หวัง) ท่านผู้นี้นับว่าเปน ราชินิกูลชั้น 1 เพราปนชนกของชนนีในสมเด็จพระศรีสุราไลย…

ฝ่ายของพระชนนี [คือมารดาของมารดาของสมเด็จพระศรีสุลาไลย] ซึ่งเปนไทยสกูลชาวสวนวัดหนัง ผู้เปนภรรยาของพระราราชวังสัน (หวัง) ตามี่กล่าวมาแล้วนั้น มีนามว่า ชู นับว่าเปนราชินิกูลชั้น 1 เหมือนกัน เดิมก็ย่อมอยู่ณะเคหะสถานแห่งบุรพชนในสกูลชาวสวนวัดหนัง ถึงแม้ว่าภายหลังจักต้องย้ายสถานที่ใหม่มาอยู่กับสามีก็ดี สถานที่เดิมของบุรพชนยังมีสำคัญอยู่ คือต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดหนังในคลองบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี “โผล่จากบึง” เปนเครื่องหมายสำหรับสกูลชาวสวนวัดหนัง อันเปนบุรพชนของพระชนนีฝ่ายชนนี ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้”

วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี จึงเป็นหลักหมายสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องในพระประวัติกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย สมเด็จพระราชชนนี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นชาวนนทบุรี ตลอดจนพระราชศรัทธาในการพระพุทธศาสนาในการสถาปนาวัดเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งถือเป็นวันสุดท้ายในพระราชศรัทธา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ทุกวันนี้

มูลเหตุแห่งการสร้างวัดเริ่มเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2367 นั้น พระองค์ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชชนนีแห่งพระองค์ท่าน ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลยด้วย ต่อมาทรงพระราชดำริว่า

บริเวณป้อมเก่าริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาใต้ตลาดขวัญ เมืองนนทบุรี เป็นนิวาสสถานเดิมแห่งพระอัยกา พระอัยกี ของพระองค์ และเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระราชชนนีพันปีหลวงสมควรที่จะสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงสักแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระอัยกา พระอัยกี และสมเด็จพระราชชนนีแห่งพระองค์

ด้วยเหตุนี้โปรดให้พระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ตำแหน่งที่สมุหพระกลาโหม เป็นแม่กองสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้น และโปรดให้สร้างป้อมปราการ ก่ออิฐถือปูน มีใบเสมาเป็นทำนองเดียวกับกำแพงพระบรมมหาราชวังรอบวัดไว้เป็นอนุสรณ์ด้วย พระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า วัดเฉลิมพระเกียรติ เมื่อ พ.ศ. 2390

วัดเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเป็นวันสุดท้ายในรัชกาลก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2394 การสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติฯ น่าจะยังไม่แล้วเสร็จในรัชกาลของพระองค์ เพราะเมื่อพระองค์ใกล้จะเสด็จสวรรคต พระองค์ก็ยังตรัสถึงวัดต่างๆ ที่ยังสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ค้างไว้ว่า

“…ทุกวันนี้คิดสละห่วงใหญ่ให้หมด อาลัยอยู่แต่วัด สร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็ดี ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ช่วยทนุบำรุง เงินในพระคลังที่เหลือจับจ่ายใช้ราชการแผ่นดิน มีอยู่ 40,000 ชั่ง ขอสัก 10,000 ชั่งเถิด ถ้าผู้ใดเปนเจ้าแผ่นดินแล้ว ให้ช่วยบอกแก่เขาขอเงินรายนี้ให้ช่วยทนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการวัดที่ยังค้างอยู่นั้นเสียให้แล้วด้วย…”

เมื่อเป็นเช่นนี้ วัดเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ยังสร้างค้างอยู่น่าจะเป็นวัดหนึ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยด้วย ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงรับเป็นพระราชภาระในการสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติฯ และวัดอื่นๆ จนเสร็จเรียบร้อย โดยโปรดให้พระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เป็นแม่กองการบูรณะจนแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2401

สำหรับเงิน 10,000 ชั่ง ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอไว้สําหรับการบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างวัดนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงปฏิบัติตามทุกประการเพื่อเป็นการสนองพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังความตอนหนึ่งในพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยเงินสำหรับซ่อมแซมวัดซึ่งเป็นส่วนพระองค์ว่า

“…พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ท่านทรงไว้ในพระราชหัตถเลขาในเวลาปลายมือว่าเงินมีอยู่ 40,000 ชั่ง ทองคำ 100 ชั่ง เงิน 40,000 ชั่ง นั้น ท่านทรงขอเป็นของท่าน 10,000 ชั่ง เพื่อจะได้จ่ายทําพระอารามที่ค้างอยู่ให้แล้ว อีก 30,000 ชั่ง ให้ยกถวายเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ตามแต่จะใช้สอยทำนุบำรุงแผ่นดินต่อไป…ก็เงินราย 10,000 ชั่ง ที่ขอให้เป็นส่วนบำเพ็ญพระราชกุศลในการค้างนั้น ก็ได้จ่ายไปทําการที่ค้างในวัดมหาธาตุ วัดชนะสงคราม วัดบวรมงคล และซ่อมแซมวัดอรุณราชวราราม วัดราชโอรสวราราม วัดเฉลิมพระเกียรติจ่ายไปแล้ว”

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


หมายเหตุ : บทความนี้คัดย่อจากหนังสือ “สมเด็จพระมหาเจษฎาธิบดินทร์” (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี, มีนาคม 2551) จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการ


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 ตุลาคม 2564