เผยแพร่ |
---|
แม้ประเทศไทยจะมีการเลี้ยงโคนมและผลิตน้ำนมเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2450 โดยชาวอินเดียที่อพยพเข้าเมืองไทยที่มีวัฒนธรรมการบริโภคนมอยู่เดิม หรือที่หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษดากร ได้ทำฟาร์มเลี้ยงโคนมที่ตำบลบางเบิด ประจวบคิรีขันธ์เมื่อ พ.ศ. 2463 แต่ก็ยังไม่เป็นการแพร่หลาย เป็นเพียงการบริโภคเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
การบริโภคนมของไทยเกิดขึ้น เนื่องจากผลกระทบสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) หลังสงครามโลก ได้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก จนมีการจัดตั้งองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) องค์การอนามัยโลก (WHO) ในช่วงดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และมีการจัดตั้งองค์การยูนิเซฟในประเทศไทย พ.ศ. 2491 ที่เข้ามาสนับสนุนเรื่องสุขภาภอนามันและโภชนการของเด็ก ทำให้มีการริเริ่มโครบการดื่มนมในโรงเรียน และการแจกจ่ายเกลือไอโอดีน
จนเมื่อ พ.ศ. 2503 รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำการสำรวจทางโภชนาการครั้งใหญ่ทั่วประเทศ พบว่ามีประเทศมีปัญหาทุพโภชนาการ และมีสถิติทารกเสียชีวิตสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมา ในปีนี้เองมีการนำเข้านมวัวอย่างเป็นทางการ หลังจากรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสยุโรป ทรงศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมสำหรับเป็นอาชีพใหม่แก่เกษตรกรไทย
จนกระทั่งเกิดเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-รัฐบาลเดนมาร์คใน การจัดตั้ง “ฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ค” ที่ตำบาลมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ที่เปิดทำการในวันที่ 17 มกราคม 2505 ถือจุดเริ่มต้นที่คนไทยหันมาเลี้ยงโคนมเพื่อผลิตน้ำนมในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ภายหลังรัฐบาลไทยได้โอนฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ค มาจัดตั้งเป็น “องค์การโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)” สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าหน้าที่ฝึกอบรมและส่งเสริมเกษตรในการเลี้ยงโคนม รวมทั้งรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร
นอกจากนี้ในปี 2505 รัชกาลที่ 9 ทรงก่อตั้ง “โรงโคนมจิตรลดา” เพื่อค้นคว้าทดลองวิชาการเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมด้านต่างๆ ต่อมาเมื่อเกิดภาวะนมสดล้นตลาดช่วง พ.ศ. 2511-2512 ผู้เลี้ยงโคนมถวายฎีกาแด่รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “โรงนมผงสวนดุสิต” ใน พ.ศ. 2512 เป็นโรงนมผงแห่งแรกของประเทศ เพื่อแปรรูปน้ำนมดิบ ต่อมา พ.ศ. 2513 มีการก่อสร้าง “โรงงานหนองโพ” ที่ตำบลหนองโพ จังหวัดราชบุรี เป็นโรงานนมผงที่ได้ต้นแบบมาจากโรงงานนมผง สวนจิตรลดา และมีการจัดตั้งเป็น “สหกรณ์โคนมหนองโพ” ใน พ.ศ 2514 และทรงรับไว้ในพระบรมราชูถัมภ์
ระหว่าง พ.ศ. 2515-2514 โรงงานทั้งสองแห่งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำนมดิบอีกหลายรายการ เช่น เนยแข็ง, ไอศกรีม, โยเกิร์ต, เนยสด, นมข้นหวาน ฯลฯ แต่ความนิยมในการบริโภคและการทำตลาดก็ยังไม่กว้างขวางนัก นั่นแสดงให้เห็นว่า การบริโภคนมวัวในไทยยังไม่แพร่หลาย ขณะเดียวกันเรื่องโภชนาการของเด็กก็ยังมีปัญหาอยู่
จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) มีการสนับสนุนกิจการโคนมด้านต่างๆ อย่างจริงจัง เช่น ลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าภาชนะบรรจุ และวัตถุดิบในการผลิตภาชนะบรรจุนมพร้อมดื่ม, สนับสนุนโรงงานแปรรูกนมใช้น้ำนมดิบแทนนมผงคืนรูปให้มากที่สุด และขยายการรณรงค์การบริโภคนม โดยจัดทำโครงการอาหารเสริม(นม) โรงเรียน ฯลฯ ทั้งนี้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2535 สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ได้จัดสรรงบประมาณ ให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลเด็กก่อนชั้นประถม และค่อยๆ กลุ่มจนถึงประถมศึกษาปีที่ 4 ในเวลาต่อมา
เมื่อสิ้นแผนฯ 7 ปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคนมพร้อมดื่ม ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมก็ต้องประสบปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO)ที่เริ่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 ที่ทำให้ต้องเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย, น้ำนมดิบ และนมพร้อมดื่ม ขณะที่น้ำหนักและส่วนสูงของเด็กไทยที่ใช้เป็นเครื่องชี้วัดเกณฑ์ภาวะโภชนการของไทย ก็เริ่มเป็นไปในมาตรฐานที่ดีขึ้น
ข้อมูลจาก :
วิภาวี พงษ์ปิ่น. “เมื่อปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม: รัฐและกำเนิดวัฒนธรรมการดื่มนมวัวในประเศไทย” ใน, เอกสารประกอบการประชุมประจำปีทางมนุษยวิทยา ครั้งที่ 9 ปาก-ท้อง ของกิน: จริยธรรมและการเมืองเรื่องอาหารการกิน 25-27 มีนาคม 2553.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 สิงหาคม 2564