ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
แม้ประเทศไทยจะมีการเลี้ยง โคนม และผลิตน้ำนมเพื่อการบริโภคภายในประเทศมาตั้งแต่ พ.ศ. 2450 โดยชาวอินเดียที่อพยพเข้าเมืองไทยซึ่งมีวัฒนธรรมการบริโภค นมวัว อยู่แต่เดิม หรือที่ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษดากร ได้ทำฟาร์มเลี้ยงโคนมที่ตำบลบางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ พ.ศ. 2463 แต่การบริโภค “นมวัว” ก็ยังไม่เป็นการแพร่หลายนัก เป็นเพียงการบริโภคเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โครงการสำคัญของกรมเกษตรอย่างหนึ่งคือ โครงการบำรุงและส่งเสริมการเลี้ยงโคนม กระทั่ง พ.ศ. 2485 รัฐบาลได้อนุมัติโครงการเลี้ยงโคงานและโคเนื้อ ส่วนโคนมนั้นเลี้ยงเพื่อการศึกษาก่อนหาทางส่งเสริมต่อไป ปีถัดมา รัฐบาลยังอนุมัติให้กระทรวงเกษตราธิการจัดตั้งบริษัททำนมขึ้น มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทอุตสาหกรรมนมจำกัด เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2486 เพื่อผลิตนมออกมาจำหน่ายแก่โรงพยาบาลและประชาชน
ทั้งนี้การบริโภคนมของไทยเกิดขึ้นอย่างจริงจังเนื่องจากผลกระทบสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) เพราะหลังสงครามโลกได้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก จนมีการจัดตั้งองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) องค์การอนามัยโลก (WHO) ในช่วงดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และมีการจัดตั้งองค์การยูนิเซฟในประเทศไทย พ.ศ. 2491 อันมีบทบาทเข้ามาสนับสนุนเรื่องสุขภาพอนามัยและโภชนาการของเด็ก ทำให้มีการริเริ่มโครงการดื่มนมในโรงเรียน และการแจกจ่ายเกลือไอโอดีน
กลางทศวรรษ 2490 มีการทดลองนมเข้าโคนมต่างประเทศมาเลี้ยงและผสมพันธุ์เพื่อหาโคนมที่เหมาะสมกับการเลี้ยงในไทย โดยเฉพาะปี 2501 เกิดโครงการตั้งหน่วยผสมเทียมขึ้นเพื่อฉีดเชื้อโคนมพันธ์ต่างประเทศผสมกับโคนมพื้นเมือง จนได้โคนมพันธุ์ดีสำหรับให้ราษฎรนำไปเลี้ยงจนเกิดความนิยมแพร่หลายขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ เพชรบุรี นครปฐม และราชบุรี ก่อให้เกิดกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยในตำบลหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เกษตรกรกลุ่มนี้กลายเป็นผู้บุกเบิกกิจการเลี้ยงโคนมกลุ่มสำคัญกลุ่มหนึ่งของประเทศไทย
พ.ศ. 2503 รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำการสำรวจทางโภชนาการครั้งใหญ่ทั่วประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีปัญหาทุพโภชนาการและมีสถิติทารกเสียชีวิตสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมาก มีการนำเข้านมวัวอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ หลังจากรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสยุโรป ทรงได้ศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมสำหรับเป็นอาชีพแก่เกษตรกรไทย การเลี้ยงโคนมก็แพร่หลายมากขึ้นตามลำดับ รวมถึงมีการจัดตั้งโรงงานผลิตนมที่มีระบบฆ่าเชื้อและบรรจุขวดที่ทันสมัยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย
จนกระทั่งเกิดเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-รัฐบาลเดนมาร์คใน การจัดตั้ง “ฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ค” ที่ตำบาลมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ที่เปิดทำการในวันที่ 17 มกราคม 2505 ถือจุดเริ่มต้นที่คนไทยหันมาเลี้ยงโคนมเพื่อผลิตน้ำนมในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
ปลาย พ.ศ. 2509 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์แห่งชาติขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน อันเนื่องมาจากต้นทศวรรษ 2510 การบริโภคเนื้อ นม และไข่ กำลังได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างแพร่หลาย รวมถึงการส่งเสริมอาหารหลัก 5 หมู่
ภายหลังรัฐบาลไทยได้โอนฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ค มาจัดตั้งเป็น “องค์การโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.)” สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าหน้าที่ฝึกอบรมและส่งเสริมเกษตรในการเลี้ยงโคนม รวมทั้งรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร
นอกจากนี้ในปี 2505 รัชกาลที่ 9 ทรงก่อตั้ง “โรงโคนมจิตรลดา” เพื่อค้นคว้าทดลองวิชาการเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมด้านต่าง ๆ ต่อมาเมื่อเกิดภาวะนมสดล้นตลาดช่วง พ.ศ. 2511-2512 ผู้เลี้ยงโคนมถวายฎีกาแด่รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “โรงนมผงสวนดุสิต” ใน พ.ศ. 2512 เป็นโรงนมผงแห่งแรกของประเทศ เพื่อแปรรูปน้ำนมดิบ ต่อมา พ.ศ. 2513 มีการก่อสร้าง “โรงงานหนองโพ” ที่ตำบลหนองโพ จังหวัดราชบุรี เป็นโรงานนมผงที่ได้ต้นแบบมาจากโรงงานนมผง สวนจิตรลดา และมีการจัดตั้งเป็น “สหกรณ์โคนมหนองโพ” ใน พ.ศ 2514 และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ระหว่าง พ.ศ. 2515-2514 โรงงานทั้งสองแห่งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำนมดิบอีกหลายรายการ เช่น เนยแข็ง, ไอศกรีม, โยเกิร์ต, เนยสด, นมข้นหวาน ฯลฯ แต่ความนิยมในการบริโภคและการทำตลาดก็ยังไม่กว้างขวางนัก นั่นแสดงให้เห็นว่า การบริโภค นมวัว ในไทยยังไม่แพร่หลาย ขณะเดียวกันเรื่องโภชนาการของเด็กก็ยังมีปัญหาอยู่
จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) มีการสนับสนุนกิจการโคนมด้านต่าง ๆ อย่างจริงจัง เช่น ลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าภาชนะบรรจุ และวัตถุดิบในการผลิตภาชนะบรรจุนมพร้อมดื่ม, สนับสนุนโรงงานแปรรูกนมใช้น้ำนมดิบแทนนมผงคืนรูปให้มากที่สุด และขยายการรณรงค์การบริโภคนม โดยจัดทำโครงการอาหารเสริม(นม) โรงเรียน ฯลฯ ทั้งนี้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2535 สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ได้จัดสรรงบประมาณ ให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลเด็กก่อนชั้นประถม และค่อยๆ ขยายกลุ่มจนถึงประถมศึกษาปีที่ 4 ในเวลาต่อมา
เมื่อสิ้นแผนฯ 7 ปริมาณน้ำนมดิบที่ผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคนมพร้อมดื่ม ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมก็ต้องประสบปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 ที่ทำให้ต้องเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย, น้ำนมดิบ และนมพร้อมดื่ม ขณะที่น้ำหนักและส่วนสูงของเด็กไทยที่ใช้เป็นเครื่องชี้วัดเกณฑ์ภาวะโภชนการของไทย ก็เริ่มเป็นไปในมาตรฐานที่ดีขึ้น
อ่านเพิ่มเติม :
- การเมืองบนโต๊ะอาหาร ยุทธศาสตร์ของพระพุทธเจ้าหลวง
- เปิด “เมนูอาหาร” ชนะที่ 1 งานกาชาด ปี 2477 อาหาร 1 วัน 3 มื้อ ถูกจริงและคุ้มจัง
- ไอเดียจอมพล ป. ให้เลี้ยงเป็ด-ไก่ ไว้กินไข่ ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ดันไข่สู่ “อาหารจำเป็น”?
อ้างอิง :
ชาติชาย มุกสง. (2565). ปฏิวัติที่ปลายลิ้น. กรุงเทพฯ : มติชน.
วิภาวี พงษ์ปิ่น. “เมื่อปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม: รัฐและกำเนิดวัฒนธรรมการดื่มนมวัวในประเศไทย” ใน, เอกสารประกอบการประชุมประจำปีทางมนุษยวิทยา ครั้งที่ 9 ปาก-ท้อง ของกิน: จริยธรรมและการเมืองเรื่องอาหารการกิน 25-27 มีนาคม 2553.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 สิงหาคม 2564 ปรับปรุงเนื้อหา 7 มิถุนายน 2566