แนวคิดเพ้อคลั่งของ “ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์” คนสนิทในตำนานของก๊วนฮิตเลอร์-นาซี

ไฮน์ริช ลุทโพลต์ ฮิมม์เลอร์ (Heinrich Luitpold Himmler) ภาพจาก AFP

เมื่อมีการกล่าวถึง พรรคนาซี หลายคนคงนึกถึงพี่เบิ้มของพรรคเป็นคนแรกๆ นั้นคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขาคือชายผู้ทรงอิทธิพลของพรรคนาซีเยอรมัน เป็นผู้นำทัพในการก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามที่ว่านี้สร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติอย่างมหาศาล ด้วยแนวคิดในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อให้เหลือเพียงชาติอารยันอันสูงส่ง และเพื่อสร้างจักรวรรดิไรซ์ที่ 3 ให้กลายเป็นมหาอำนาจ แต่โดยส่วนตัวกลับคิดว่าลำพังแค่พี่เบิ้มฮิตเลอร์คนเดียวคงไม่สามารถทำให้กองทัพ และจักรวรรดิไรซ์ที่ 3 มีประสิทธิภาพและทรงอำนาจได้หากขาดเขาคนนี้ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์

ไฮน์ริช ลุทโพลต์ ฮิมม์เลอร์ (Heinrich Luitpold Himmler) เกิดในวันที่ 7 ตุลาคม 1900 เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเคร่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งมิวนิค (Technical University Munich) ด้านเกษตรศาสตร์และในระหว่างเรียนนั้นฮิมม์เลอร์ได้เข้าร่วมสมาคมนักศึกษาผู้รักชาติเยอรมัน (German-nationalist student fraternity)

Advertisement

เขาได้รับแนวคิดความบ้าคลั่งเรื่องเชื้อชาติอันสูงส่งของเยอรมันจากการอ่านวรรณกรรมที่เป็นที่นิยมและแพร่หลายของพวกหัวรุนแรงในเวลานั้น หลังจบการศึกษาในปี 1922 ฮิมม์เลอร์สละศรัทธาคาทอลิกหันมาบูชาฮิตเลอร์แทน

ฮิมม์เลอร์เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคนาซีในปี 1923 และมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ปฏิวัติโรงเบียร์ (Beer Hall Putsch) ที่นำโดยพี่เบิ้มฮิตเลอร์และพรรคเพื่อพยายามยึดอำนาจ แต่ล้มเหลวถูกรัฐบาลเยอรมันจับกุมตัว แต่ฮิมม์เลอร์ไม่ถูกตั้งข้อหาเนื่องจากหลักฐานน้อยเกินไป

หลังจากนั้นฮิมม์เลอร์ก็ยังคงทำงานด้านประชาสัมพันธ์โฆษณาสร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรคนาซีโดยการเดินทางไปปราศรัยตามที่ต่างๆ ทั่วบาวาเรีย

ฮิมม์เลอร์สร้างฐานเสียงความนิยมด้วยการแสดงสุนทรพจน์ที่หนักแน่นและทรงพลังกระตุ้นเร้าผู้คนด้วยหัวข้อที่เกี่ยวกับการมีสำนึกเรื่องเชื้อชาติ, การบูชาลัทธิเชื้อชาติเยอรมัน, การขยายการตั้งถิ่นฐานให้กับชนชาติเยอรมัน, การต่อสู้เพื่อต่อต้านศัตรูตลอดกาลของเยอรมันนั้นคือ ชาวยิว นายทุน มาร์กซิสต์ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ อนาธิปไตย เสรีนิยมและพวกทาส จนในปี 1929 ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งให้ฮิมม์เลอร์ เป็นผู้บัญชาการหน่วย SS (Schutzstaffel)

ฮิมม์เลอร์มีชื่อเรียกกันเฉพาะภายในหน่วย SS ว่า ไรซ์ไฮน์นี่ (Reichsheini) มีความหมายว่า เจ้าพ่อแห่งไรซ์

ภารกิจหลักของหน่วยกองกำลัง SS ก็คือการให้ความคุ้มครองฮิตเลอร์และพิทักษ์เชื้อชาติบริสุทธิ์อันสูงส่งของเยอรมัน ฮิมม์เลอร์ได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากฮิตเลอร์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนกลายเป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคนาซี มีอำนาจควบคุมตำรวจและกองกำลังความมั่นคงทั้งหมด มีอำนาจเต็มทั่วไปสำหรับฝ่ายปกครองของไรซ์ทั้งหมด ฮิมม์เลอร์จึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของกองทัพนาซี

แต่ดูเหมือนว่ายังมีภารกิจหลักอีกประการหนึ่งที่เจ้าพ่อแห่งไรซ์พยายามอย่างยิ่งในการที่จะตอบสนองความคลั่งไคล้หลงใหลในเรื่องของสิ่งลี้ลับ ตำนาน โหราศาสตร์ และเรื่องเหลือเชื่อต่างๆ ฮิมม์เลอร์ได้ก่อตั้งองค์กรอาห์เนเนอร์เบอ (Ahnenerbe) อันเป็นองค์กรทำการวิจัยที่พร้อมให้การสนับสนุนแนวคิดสุดเพี้ยนพิสดารของฮิมม์เลอร์

เนื้อหาในกรอบการทำงานขององค์กรอาห์เนเนอร์เบอจะประกอบไปด้วย วิชาพันธุศาสตร์ ภูมิศาสตร์การเมือง นิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เทพนิยาย และเวทมนตร์คาถา ฮิมม์เลอร์เชื่อว่าจะสามารถค้นหาจุดกำเนิดของสายเลือดอารยันแท้ที่สูงส่งและจะทำการวิจัยแยกความแตกต่างของเลือดอารยันบริสุทธิ์จากเลือดชาติพันธุ์อื่น

ฮิมม์เลอร์ได้ส่งนักสำรวจคนหนึ่งไปทิเบตเพื่อค้นหาร่องรอยชนเผ่าเยอรมันโบราณซึ่งเชื่อกันว่าซ่อนตัวอยู่ในภูเขาสูงที่ไม่มีใครไปถึงมาก่อนและยังเก็บเรื่องลึกลับของชาตินอร์ดิกโบราณไว้อยู่ ฮิมม์เลอร์รับไม่ได้กับการที่พระเยซูเป็นชาวยิว เขาได้สั่งให้องค์กรอาห์เนเนอร์เบอหาข้อพิสูจน์เพื่ออ้างว่าพระเยซูเป็นชาวเยอรมันไม่ใช่ชาวยิว จึงดูราวกับว่าฮิมม์เลอร์กำลังพยายามสร้างไบเบิลเพื่ออารยันขึ้นมา

นอกเหนือจากการคลั่งเชื้อชาติอารยันอันสูงส่งแล้ว ฮิมเลอร์ยังหลงใหลคลั่งไคล้ในตำนานเทพนิยายต่างๆ เขาสั่งให้นักสำรวจออกตามหาหีบแห่งพันธสัญญา (Ark of the Covenant) หอกแห่งโชคชะตา (Spear Of Destiny) และจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งพระคริสต์ (Holy Grail) ซึ่งฮิมม์เลอร์เชื่อว่ามันคือสมบัติจักรพรรดิ์ของชนชาติเยอรมัน และมันจะมอบพลังพิเศษให้กับกองทัพนาซีเยอรมันเพื่อเอาชนะในสงคราม ทั่วทั้งทวีปยุโรปก็ถูกขุดจนปรุเพื่อหาโบราณวัตถุที่แสดงถึงวัฒนธรรมเยอรมันแท้แต่ก็ไม่พบ

สิ่งที่ฮิมม์เลอร์ทำมันอาจดูบ้าและพิสดารที่จัดตั้งองค์กรอาห์เนเนอร์เบอขึ้นมาพิสูจน์เรื่องที่เหลือเชื่อ พิสูจน์สิ่งที่ไม่จริงด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้สิ่งลี้ลับส่วนตน แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าฮิมม์เลอร์กำลังพยายามจะสร้างลัทธินาซีขึ้นมาใหม่โดยสร้างตำนานความเป็นอารยันอันสูงส่งในทุกด้าน ตั้งแต่ ชาติพันธุ์ บรรพบุรุษ พระคริสต์ที่เป็นชาวเยอรมันและเครื่องประกอบแห่งอำนาจสมบัติจักรพรรดิ เพื่อความเป็นที่สุดในทุกๆ ด้านของเยอรมัน

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วมันเป็นข้ออ้างในการหาเหตุผลที่จะกระทำการฆาตกรรมหมู่กลุ่มคนที่แตกต่างและมันต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากโดยการกล่าวอ้างในนามของความรักต่อชาติเยอรมันอันสูงส่ง ชาวยิวในสายตาของฮิมเลอร์เป็นพวกที่ต่ำกว่ามนุษย์ (Sub-human) การกำจัดชาวยิวก็ไม่ต่างอะไรกับการกำจัดเหาเพื่อให้ร่างกายสะอาด

จากแนวคิดอันเพ้อคลั่งของฮิมม์เลอร์มันส่งผลให้เกิดการกำจัดชาวยิวอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนจากคำสั่งของฮิมม์เลอร์ในการสร้างค่ายกักกันนรกเพื่อใช้เป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมาณและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

คลิกอ่านเพิ่มเติม : “ฮิตเลอร์” เอาแนวคิดต่อต้านยิวมาจากไหน เจาะ 3 นักคิดทรงอิทธิพลต่อผู้นำนาซีเยอรมัน

คลิกอ่านเพิ่มเติม : เปิดวาระสุดท้ายของฮิตเลอร์ ชนวน “โกรธจัดเหมือนเป็นบ้า” ถึงห้วงปริศนาหลังลาโลก


เอกสารอ้างอิง

John Cornwell, นักวิทยาศาสตร์ของฮิตเลอร์ วิทยาศาสตร์ สงคราม และสัญญาปีศาจ แปลโดย นภดล เวชสวัสดิ์ (กรุงเทพฯ : มติชน, 2554)

Hugh Trevor-Roper. วาระสุดท้ายของฮิตเลอร์. แปลโดย จักรกฤษณ์ อุทโยภาศ. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2555)

ภาณุ ตรัยเวช. ในสาธารณรัฐไวมาร์ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง. (กรุงเทพฯ : มติชน, 2559)

แหล่งอ้างอิงออนไลน์

ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์, แหล่งที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์

ปริศนาฮิตเลอร์กับมรดกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู, แหล่งที่มา http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000081060

Heinrich Himmler, แหล่งที่มา http://www.hoboctn.ru/2013/01/heinrich-himmler.html

Heinrich Himmler, แหล่งที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Heinrich_Himmler

Heinrich Himmler – United States Holocaust Memorial Museum, แหล่งที่มา  https://www.ushmm.org/wlc/en/article.php?ModuleId=10007407

Historic Figures: Heinrich Himmler (1900 – 1945), แหล่งที่มา http://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/himmler_heinrich.shtml

นักล่าตำนาน-ตอนจอกศักดิ์สิทธิ์ ของนาซี, แหล่งที่มา https://www.youtube.com/watch?v=8AhdlcnxAGI


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 มีนาคม 2560