เบื้องหลัง 101 Dalmatians แอนิเมชั่นน้องหมา ต้นตอ Cruella คืนชีพธุรกิจ “ดิสนีย์” ได้อย่างไร

[ซ้าย] เอ็มม่า สโตน (Emma Stone) ในบท Cruella ภาพยนตร์ Cruella (2021) ภาพจาก YouTube/WaltDisney Studios [ขวา] Glenn Close ในบท Cruella จากภาพยนตร์ 101 Dalmatians (1996) ภาพจาก YouTube/Movieclips Classic Trailers

ทุกวันนี้ ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของดิสนีย์ (Disney) เป็นที่ประจักษ์โดยไม่มีอะไรต้องตั้งคำถาม ดิสนีย์เข้าไปครองใจคนทั่วโลกมาหลายต่อหลายรุ่นและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จวบจนปัจจุบัน ผลงานของดิสนีย์ยังเป็นที่เฝ้ารอของผู้ชม ไม่ว่าจะแฟนๆ รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ล้วนติดตามกันจำนวนมาก

แต่ใช่ว่าเส้นทางความรุ่งโรจน์ของดิสนีย์จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก่อนจะมาเป็นเอกอุด้านแอนิเมชั่นอย่างทุกวันนี้ ดิสนีย์ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ท้าทายความสามารถในสายงานนี้เช่นกัน

ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1959 ดิสนีย์เผชิญปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก เมื่อภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ได้ทุ่มทุนสร้างมหาศาลและใช้เวลาผลิตนานกว่า 6 ปีอย่าง Sleeping Beauty หรือ เจ้าหญิงนิทรา ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ทำให้บริษัทต้องขาดทุนไปกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความล้มเหลวครั้งนั้นส่งผลให้ให้บริษัทดิสนีย์จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หนึ่งในนั้นคือการปลดพนักงานไปจำนวนไม่น้อยเพื่อรักษาสถานภาพทางการเงินของบริษัทเอาไว้

เหตุการณ์นี้เป็นดั่งหัวเลี้ยวหัวต่อของ วอลต์ ดิสนีย์ ประธานบริษัทที่เป็นผู้กุมชะตากรรมทั้งหมด และความผิดพลาดนี้ถึงขนาดที่แม้แต่ รอย โอ. ดิสนีย์ พี่ชายผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขายอมแพ้ต่อวงการแอนิเมชั่น พร้อมแนะนำให้หันไปเอาดีทางด้านธุรกิจโทรทัศน์ดีกว่า

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวในครั้งนั้น คือกระบวนการผลิตแอนิเมชั่นในสมัยก่อนต้องใช้ทุนจำนวนมาก เนื่องจากความซับซ้อนของกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ทรัพยากรทั้งสิ่งของและบุคคลไม่ใช่น้อย

อย่างไรก็ตาม วอลต์ ดิสนีย์ ยังไม่ยอมแพ้ให้กับวงการแอนิเมชั่น จนกระทั่งการมาถึงของเทคโนโลยี Xerox และความสำเร็จของ One Hundred and One Dalmatians ในสองปีถัดมา เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาตัดสินใจถูกต้องและเหมาะสมกับวงการการ์ตูนแอนิเมชั่นจริงๆ

แอนิเมชั่น One Hundred and One Dalmatians ของดิสนีย์เข้าฉายในช่วงปี 1961 เนื้อหาดัดแปลงมาจากนิยาย The Hundred and One Dalmatians เมื่อปี 1956 ของ Dodie Smith เล่าเรื่องเกี่ยวกับการลักพาตัวลูกสุนัขดัลเมเชียน (Dalmation) และการผจญภัยอันสนุกสนานของเหล่าสุนัข เดิมทีตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารผู้หญิง Woman’s Day ใช้ชื่อเรื่อง The Great Dog Robbery

ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง One Hundred and One Dalmatians เปลี่ยนโฉมวงการแอนิเมชั่น และถือว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์การ์ตูน เพราะ One Hundred and One Dalmatians เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ใช้เทคโนโลยี Xerox อย่างเต็มรูปแบบในการผลิต และการใช้เทคโนโลยี Xerox ถือเป็นหนึ่งในกลวิธีปรับลดค่าใช้จ่ายของบริษัทดิสนีย์ที่มาได้ทันเวลาพอดิบพอดี

เทคโนโลยี Xerox คิดค้นโดยเชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ในยุค 40s

ก่อนหน้านั้นกระบวนการสร้างตัวละครแอนิเมชั่นมีกรรมวิธียุ่งยากซับซ้อน เริ่มตั้งแต่ศิลปินผู้สร้างสรรค์ตัวละครสเก็ตช์ภาพตัวละครลงบนแผ่นกระดาษ จากนั้นจึงส่งต่อให้ผู้ช่วยวาดเพื่อเก็บรายละเอียดทุกอย่างของตัวละคร

โดยผู้ช่วยเหล่านี้จะต้องมีความแม่นยำและความสม่ำเสมอเป็นสำคัญ เพื่อให้รายละเอียดของตัวละครไม่ขาดตกในแต่ละฉาก

ต่อมาตัวละครจะถูกคัดลอกลงในแผ่น celluloid sheet ที่มีลักษณะเป็นแผ่นใส เพื่อนำไปลงสีในกระบวนการต่อไป โดยกระบวนการคัดลอกนี้ถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี Xerox ตามคำแนะนำของ เคน เอนเดอร์สัน (Ken Anderson) ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ของภาพยนตร์ One Hundred and One Dalmatians ซึ่งใช้เทคโนโลยีนี้ในการนำภาพตัวละครที่สมบูรณ์แล้วจากมือศิลปินผู้สร้างสรรค์ตัวละครมาคัดลอกลงแผ่น celluloid sheet โดยทันที ทำให้ประหยัดขั้นตอนและไม่ต้องคัดลอกด้วยมือเปล่าอีกครั้ง

แต่ความแตกต่างของการใช้เทคโนโลยี Xerox กับการคัดลอกด้วยมือเปล่าก็ได้ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปและต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อยสำหรับนักสร้างอนิเมชั่น โดย Andreas Deja อดีตผู้สร้างแอนิเมชั่นของดิสนีย์ได้กล่าวถึงเทคโนโลยี Xerox ว่า

“เมื่อคุณมองตัวละครอย่าง Cruella de Vil คุณจะสัมผัสได้ถึงความไม่สมบูรณ์แบบของเธอ ลายเส้นของเธอมันไม่เป็นระเบียบ แต่มันก็ใช้ได้นะ เพราะมันควบคุมได้ ”

เทคโนโลยี Xerox ได้ช่วยให้สามารถลัดขั้นตอนกระบวนการผลิตที่ยุ่งยาก ให้สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น ตามที่ Charles Solomon นักวิจารณ์อนิเมชั่นได้กล่าวว่า

“เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้นักแอนิเมชั่นสามารถสร้างกลุ่มลูกสุนัขได้ทีละหลาย ๆ ตัว และด้วยการจัดการเคลื่อนไหวของมัน คุณสามารถขยายจำนวนสุนัขไปตามที่คุณต้องการได้ในแต่ละซีน”

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าช่วงวิกฤตทางการเงินของวอลต์ ดิสนีย์ เทคโนโลยี Xerox เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการผลิตแอนิเมชั่นให้ลดลง

อีกทั้งในตัวบทของ One Hundred and One Dalmatians ที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ชมในตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นอย่างตัวละครสุนัข Dalmatians ที่ฉีกแนวจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นส่วนมากในช่วงก่อนหน้านั้นซึ่งมักเป็นเรื่องเจ้าหญิงและเจ้าชาย

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนผลักดันให้ One Hundred and One Dalmatians พุ่งทะยานเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ และได้เปลี่ยนโฉมวงการแอนิเมชั่นหลังจากนั้นไปตลอดกาล ในเวลาต่อมายังมีภาพยนตร์ฉบับนักแสดงออกมาในปี 1996 ตัวละครที่โดดเด่นและถูกจดจำมากที่สุดก็คือ Cruella รับบทโดย Glenn Close

ดิสนีย์ใช้เทคโนโลยี Xerox ไปอีก 30 ปี ตั้งแต่ผลงาน The Sword in the Stone (1963) ไปจนถึง The Little Mermaid (1989) ขณะที่ Beauty and the Beast (1991) เริ่มใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตแทนที่ Xerox ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Computer Animation Production System หรือ CAPS

เวลาล่วงเวลามาจนถึงปี 2021 ดิสนีย์ ยังผลิตภาพยนตร์ Cruella เป็นผลงานเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวละคร Cruella de Vil ซึ่งรับบทโดย “เอ็มม่า สโตน” (Emma Stone) เรียกได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ดิสนีย์ต่อยอดเส้นทางในอดีตและเริ่มทยอยฉายในเดือนพฤษภาคม 2021 ภาพยนตร์ได้เสียงตอบรับในเชิงบวกจากผู้ชมหลายประเทศด้วย

อ่านเพิ่มเติม :


อ้างอิง :

Yetikyel, Gia. “How ‘One Hundred and One Dalmatians’ Saved Disney”. Smithsonian Magazine. Online. Published 2 JUN 2021. Access 8 JUN 2021. <https://www.smithsonianmag.com/innovation/how-one-hundred-and-one-dalmatians-saved-disney-180977869/>

Phipps, Keith. “One Hundred And One Dalmatians”. The Dissolve. Online. Published 9 FEB 2015. Access 8 JUN 2021. < https://thedissolve.com/reviews/1371-one-hundred-and-one-dalmatians/>

Foutch, Haleigh. “How ‘101 Dalmatians’ Saved Disney Animation”. Collider. Online. Published 12 JUN 2016. Access 8 JUN 2021. <https://collider.com/how-101-dalmatians-saved-disney-animation/>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มิถุนายน 2564