ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2524 |
---|---|
ผู้เขียน | น.ณ ปากน้ำ |
เผยแพร่ |
ประเพณีที่บรรดาฝรั่งและพวกแขกอาหรับหรือเปอร์เซียเข้ามารับราชการในเมืองไทย จะเริ่มแต่สมัยใดก็เห็นจะต้องสืบสาวราวเรื่องกันอยู่นาน เอาเป็นว่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาก็เริ่มปรากฏมีฝรั่งรับราชการในกรุงศรีอยุธยาก็แล้วกัน
บางคนว่าปืนไฟเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยพระไชยราชา บ้างก็ว่าปืนไฟมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว จะมาจากจีนหรือจากยุโรปไม่รู้แน่ แต่มีบันทึกในพงศาวดารพม่าว่า กองทัพบุเรงนองที่มาถล่มกรุงศรีอยุธยานั้น มีฝรั่งโปรตุเกสเป็นทหารปืนใหญ่อยู่ในหน่วยทหารรับจ้างมากับกองทัพด้วย เหตุนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อยกทัพไปปราบพม่าและที่ต่างๆ จึงต้องมีทหารรับจ้างไปกับกองทัพด้วย โดยเอาอย่างพม่าแบบเกลือจิ้มเกลือฉะนั้น
กองทัพไทยมีชาวฮอลันดาเป็นทหารปืนใหญ่ มีทหารซามูไรญี่ปุ่นเป็นทหารรักษาพระองค์ และยังมีทหารต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก ชาวต่างชาติยังเข้ามารับราชการพลเรือนด้วยเช่น ชาวอาหรับชื่อ เฉกอะหมัดรับราชการจนได้รับตำแหน่งเจ้าพระยาต้นตระกูลบุนนาค แล้วก็เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ล่วงมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์บุคคลในตระกูลนี้ก็ได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาหลายคน และสร้างวัดวาไว้มาก
ที่เราเห็นกันชินตาในภาพเขียนสมัยอยุธยา เช่น ที่วัดไชยทิศ บางขุนนนท์ มีทหารฝรั่งอยู่ประจำป้อมปืนมุมกำแพงพระราชวัง พวกนี้ใส่หมวกปีกใหญ่ จะเห็นตามภาพเขียนที่ปรากฏดังที่หลายแห่งมีดังนี้
ภาพเขียนบนตู้พระไตรปิฎกวัดอนงคาราม สมัยพระนารายณ์ฯ มีรูปทหารฮอลันดาประจำปืนใหญ่อยู่หัวเรือพระที่นั่ง และมีทหารดัชกำลังยิงปืนใหญ่มีลูกล้ออยู่หน้าประตูเมือง บางคนกำลังเอาแปรงกระทุ้งล้างลำกล้อง
ภาพเขียนบนผนังอุโบสถวัดไชยทิศ สมัยอยุธยาตอนปลาย เห็นทหารฝรั่งยืนประจำอยู่บนป้อมมีรูปทหารฝรั่งกำลังกอดอยู่กับผู้หญิง บางป้อมก็เห็นรูปอนาจารเป็นแบบ erotic art กันทีเดียว
รูปมารผจญในสมุดไตรภูมิ ฉบับสมัยธนบุรี ที่พิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน ในกลุ่มมารเห็นรูปทหารฮอลันดากำลังลากปืนใหญ่ และยังได้เห็นทหารปืนใหญ่ฮอลันดาในภาพเขียนเก่าอีกหลายแห่ง จึงพอจะสรุปได้ว่าชาวฮอลันดาน่าจะผูกขาดในการเป็นทหารปืนใหญ่ประจำกรุงศรีอยุธยา และอาจจะล่วงเลยมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีด้วยเพราะมีบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี เมื่อคราวพระยาสรรค์เข้าปล้นเมืองนั้น พอเช้าทหารฝรั่งประจำปืนใหญ่ตามป้อมเห็นหน้าตารู้ว่าคนไทยด้วยกันมาปล้นเมือง ก็เลยกระโดดน้ำหนีกลับบ้านไปหาลูกเมียตน
ภาพเขียนที่พระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 มีรูปทหารฝรั่งใส่หมวกปีกใหญ่ ลากปืนใหญ่ติดล้อ จะเข้าไปในบ้านข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง คนหนึ่งมือถือแส้สำหรับกระทุ้งล้างลำกล้อง แต่เข้าใจว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 น่าเลิกประเพณีจ้างทหารฝรั่งประจำปืนใหญ่เสียแล้ว ที่ยังมีปรากฏในภาพเขียนอยู่จึงน่าจะเป็นภาพที่นิยมเลียนแบบของเก่า เพราะว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นของจริงจึงได้เขียนผิดเพี้ยนไป เช่น หมวกที่ทหารดัชใส่ที่จริงจะเป็นหมวกหนังสีดำปีกใหญ่ และตามภาพเขียนเก่าสมัยอยุธยา ทหารดัชมักจะไว้ผมสีทองเป็นลอนยาว
ส่วนภาพนี้ผมดำแบบคนไทย เสื้อคลุมก็ไม่ได้ใส่ หรือว่าจะเป็นคนไทยลูกครึ่งดัชก็น่าพิศวงอยู่ เพราะในคัมภีร์พิไชยสงครามกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “สูตรการผสมดินปืนนี้ครูวิลันดาเป็นผู้บอกส่วนผสมให้” ชวนให้เดาไปอีกทางหนึ่งว่า คนไทยลูกครึ่งดัชคงรักษาขนบประเพณีอาชีพทหารปืนใหญ่สืบตระกูลมาจากดัชแบบเดียวกับพวกอาสาจาม ฝ่ายกองทัพเรือล่วงมาภายหลังก็กลายเป็นคนไทยไปหมด
จะเหลือสัญลักษณ์ว่าเป็นจามก็ตรงที่ยังนับถือศาสนามุสลิมอยู่
และก็น่าแปลกที่ว่า พวกจามมุสลิมนี้ ก็ยังคงสืบตระกูลรับราชการในกองทัพเรือตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 ดังเช่นข้าราชการประจำในกรมอู่ทหารเรือ และเกี่ยวกับกิจการเรือต่างๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นมุสลิมเชื่อสายจามทั้งนั้น
พวกดัชลูกครึ่งกลายเป็นคนไทยไปเสียแล้ว จึงไม่รู้ว่ายังคงสืบเชื้อสายตระกูลอยู่ตรงไหนบ้าง รู้แต่ว่าตรงกุฎีจีน แถววัดกัลยาณมิตรเป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งที่คนไทยเชื้อสายฝรั่งอยู่กันมาก
อาชีพผูกขาดที่ชาวต่างชาติที่รับราชการในเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ชาวเปอร์เชียน พวกนี้ปรากฏอยู่บนภาพเขียนสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายแห่ง เช่น ที่ภาพเขียนลายกำมะลอหอไตรวัดสระเกศ (สมัยอยุธยาเรียกวัดสะแก) เป็นรูปทหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยืนคู่กับทหารเปอร์เชียนบนบานหน้าต่าง และยังปรากฏบนบ้านฝรั่งในภาพเขียนวัดคงคาราม โพธาราม
สมัยอยุธยาตอนปลายพวกนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นทหารรักษาพระองค์แบบเดียวกับพวกซามูไรญี่ปุ่น และทหารฝรั่งเศสส่วนหนึ่งน่าจะเป็นทหารรักษาพระองค์ด้วย, เพราะเคยปรากฏรูปทหารฝรั่งเศสขี่ม้าคู่ไปกับทหารเปอร์เชียนอยู่บ่อยๆ เช่น ที่วัดคงคาราม และบนตู้พระไตรปิฎกสมัยอยุธยา เป็นต้น รวมทั้งบนบานประตูตู้พระไตรปิฎกด้วย
นอกจากพวกทหารเปอร์เชียนจะเป็นทหารรักษาพระองค์แล้ว คงมีชาวเปอร์เชียนกลุ่มหนึ่งเข้ามารับราชการในราชสำนักเป็นยูนุค แบบเดียวกับพวกขันทีของจีน พวกนี้จะผ่านการตอนอย่างถูกวิธีจากเปอร์เชียนมาแล้ว มีหน้าที่ควบคุมพระราชฐานชั้นใน ดูแลทหารยูนุคและควบคุมเหล่านางนักสนมกำนัล ดังรูปที่ 3 นางสนมกำนัลนอนอีเหละเขละขละหน้าพระแท่าน มีพวกยูนุคเปอร์เชียนนอนกอดก่ายไปกับนางสนมที่เปลือยอกเหล่านั้น ในกลุ่มนี้เห็นยูนุครวมอยู่ด้วยถึง ๒ คน อันเป็นภาพเขียนจากผนังพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม ธนบุรี
รูปยูนุคนี้ยังปรากฏชัดเจนในภาพเขียนบนผนังพระอุโบสถวัดไชยทิศ ธนบุรี สมัยอยุธยาตอนปลาย เห็นว่ามีหน้าที่รักษาพระราชฐานชั้นใน และดูแลควบคุมนางสนมกำนัล การแต่งตัวก็คงเป็นแบบเปอร์เชียนชั้นสูง
เข้าใจว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คงจะเลิกประเพณีเหล่ายูนุคเสียแล้ว จึงมีพวกโขลนดูแลพระราชวังชั้นในและเป็นหญิงด้วยกันสืบมาจนทุกรัชกาล อีกประการหนึ่งภาพเขียนสมัยรัชกาลที่ 1 และ 3 ก็ไม่ปรากฏรูปยูนุคเสียแล้ว
ที่จริงนั้น เมืองไทยอยู่ใกล้จีนมากกว่าเปอร์เชียน เหตุไฉนจึงสั่งยูนุคมาจากภาคตะวันออกกลางอันไกลถึงปานนั้น แทนที่จะสั่งขันทีจากจีนเข้ามา อาจจะเป็นเพราะว่าไทยรังเกียจขันที ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นว่าพวกนี้เป็นต้นตอแห่งการคอรัปชั่นทั้งปวงทั้งหน้าตาก็ไม่น่ากลัว หากว่าสั่งยูนุคมาจากเปอร์เชียนแล้วได้ประโยชน์หลายทาง
ประการแรก พวกยูนุคคงตอนมาแต่เด็ก ถูกอบรมมาโดยตรง จึงไม่ยุ่งเรื่องอื่น นอกจากหน้าที่ในปัจจุบัน
ประการที่สอง พวกยูนุคเปอร์เชียนนี้แต่งกายสวยงาม เหมาะสำหรับประดับวัง และหน้าตาก็ดูดุดัน เหมาะสมจะควบคุมดูแลหล่านางสนมกำนัลให้เกรงกลัว และอยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนผู้ใดจะแนะนำและสั่งยูนุคเข้ามา ข้อนี้เห็นที่จะต้องโยนหน้าที่ให้ท่านผู้สนใจในด้านนี้ทำการค้นคว้าต่อไป
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 ตุลาคม 2560