เบื้องหลังการทำแผนที่เมืองไทย “ฉบับแรก” ในสมัยรัชกาลที่ 5

แผนที่เมืองไทยฉบับแรกของนายแม็คคาร์ธี ค.ศ. 1888 พิมพ์ประกอบรายงานการสำรวจของเขาภายใต้การว่าจ้างของรัฐบาลสยาม ใช้เวลาจัดทำนานถึง 6 ปี (ภาพจากไกรฤกษ์ นานา)

สมัยรัชกาลที่ 4 อังกฤษจำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากเอเชียซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ เพื่ออุดหนุนและเกื้อกูลการปฏิวัติอุตสาหกรรม อังกฤษจึงเริ่มครอบครองอาณานิคมในเอเชียโดยเริ่มจากอินเดีย ซีลอน (ศรีลังกา) ฯลฯ แต่ก็ไม่สามารถปกครองประเทศใหญ่ๆ ของเอเชีย มีอาทิ จีน สยาม และญี่ปุ่น จึงหันมาเกลี้ยกล่อมและผลักดันให้เปิดเสรีการค้าเพื่อเปิดตลาดค้าขายอย่างจริงจังกับตนแทน นั่นทำให้อังกฤษเกิดแนวคิดที่จะทำ “แผนที่” ในภูมิภาคนี้ขึ้น อันมีผลให้แผนที่ฉบับแรกของไทยเกิดขึ้นด้วย

ส่วนเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำแผนที่เมืองไทย “ฉบับแรก” ในครั้งนั้น ไกรฤกษ์ นานา อธิบายไว้ใน “ไขปริศนาประเด็นอำพราง ในประวัติศาตร์ไทย” (สนพ.มติชน, 2558) ว่า [จัดย่อหน้าใหม่ และสั่งเน้นคำเพิ่มโดยผู้เขียน]


 

ในการนี้อังกฤษจำเป็นต้องสำรวจพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ของอนุทวีปอินเดียเพื่อสำรวจร่องน้ำในการเดินเรือสินค้า การรังวัดที่ดินสำหรับการวางเส้นทางรถไฟเพื่อจะได้มาซึ่งแผนที่ทางเศรษฐกิจฉบับมาตรฐานตะวันตก ซึ่งประชาคมเอเชียไม่เคยเห็นความสำคัญหรือความจำเป็นต้องมีก่อนหน้าการเข้ามาของคนอังกฤษ

เหตุการณ์สำคัญครั้งแรกที่อังกฤษต้องการสำรวจพื้นที่ทางบกเชื่อมต่อกับทางทะเล เพื่อทำแผนที่ขยายจากอินเดียและพม่าซึ่งอังกฤษเพิ่งได้ครอบครองมาใหม่ใน พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) นั้น จำเป็นต้องพาดผ่านเข้ามาในเขตแดนทางด่านพระเจดีย์สามองค์ หรือทางภาคตะวันตกของไทยไปบรรจบกับทางทะเลในอ่าวสยาม จึงได้ทำเรื่องขออนุญาตรัฐบาลไทยในการทำแผนที่ฉบับนี้อย่างเป็นทางการ

เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงทราบเรื่องก็ทรงพระวิตกเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ทราบเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลอังกฤษ โครงการสำรวจพื้นที่ของต่างชาติคราวนั้น ครอบคลุมไม่เพียงแนวชายแดนที่สยามหวงแหนเท่านั้น แต่ยังจะก้าวล่วงเข้ามาถึงพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ และเขตพระราชฐาน ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามย่อมกระทบต่อความรู้สึกของชาวราชสำนัก และเป็นการละลาบละล้วงเข้าไปถึงที่พักอาศัยของเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อันเป็นสิ่งที่มิควรกระทำ แต่ถ้าขัดขวางห้ามปรามไว้ก็อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งสยามมีต่อชาวอังกฤษมากกว่าชาวยุโรปชาติใดในรัชกาลที่ 5

คนอังกฤษที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุดตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในสมัยนั้นก็คือ นายอาละบาสเตอร์ (Henry Alabaster) (อดีตรองกงสุลอังกฤษ ผู้ลาออกแล้วสมัครเข้ารับราชการกับทางราชสำนักไทย) และเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินผู้เชี่ยวชาญด้านการทำแผนที่ และวิศวกรรมโยธามาก่อนถูกเรียกตัวเข้ามาถวายคำแนะนำว่าไทยควรจะให้อนุญาตอังกฤษในการสำรวจหรือไม่

สุดท้ายนายอาละบาสเตอร์ก็ได้ทูลแนะนำว่าควรจะอนุญาตด้วยเหตุผลที่ไทยจะได้ประโยชน์ในการสำรวจไม่น้อยไปกว่าอังกฤษ และในอนาคตอันใกล้ไทยก็จำเป็นจะต้องทำแผนที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทำนองเดียวกันอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว

นายอาละบาสเตอร์ยังทูลเสนอแนะต่อไปอีกว่าไหนๆ รัฐบาลไทยก็จะได้ประสานงานด้านการสำรวจและทำแผนที่กับผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลอังกฤษแล้ว เขาในฐานะลูกจ้างเก่าของรัฐบาลอังกฤษใคร่จะแนะนำ (Recommend) ให้พระองค์ทำแผนที่เมืองไทยให้กว้างขวางขึ้นไปอีกในโอกาสต่อไป ก็ควรจะพิจารณาถึงตัวคนอังกฤษที่ขออนุญาตคราวนี้เข้ารับราชการเป็นลูกจ้างรัฐบาลไทยเสียเลยทีเดียว ซึ่งรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเห็นด้วยกับนายอาละบาสเตอร์

ช่องทางที่ไทยจะดึงผู้เชี่ยวชาญการสำรวจและทำแผนที่ฉบับรวมทุกภูมิภาคจึงมาจากเหตุการณ์คราวทำแผนที่สามเหลี่ยมของอินเดียผ่านกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2423 นั่นเอง คนอังกฤษจึงเข้ามารับราชการในภารกิจพิเศษกับกิจการแผนที่ในสยามแบบตกกระไดพลอยโจนจริงๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

และด้วยในเวลานั้นกองทำแผนที่ของอังกฤษจากอินเดียมีกัปตัน เอช. ฮิลล์ (Captain H. Hill) เป็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา นายอาละบาสเตอร์ตระหนักว่า ถึงจะชวนนายฮิลล์เข้ามารับราชการกับสยามเขาคงไม่สมัครเพราะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่แล้ว

นายแม็คคาร์ธี (พระวิภาคภูวดล) ผู้ทำแผนที่เมืองไทยฉบับแรก

จึงตกลงทาบทามผู้ช่วยของกัปตันฮิลล์ ชื่อ นายเจมส์ แม็คคาร์ธี (James McCarthy) โดยให้เงินเดือนสูงเพื่อดึงดูดใจ และมีสัญญากับแม็คคาร์ธีว่าถ้ารับราชการดี ถึงเวลาออกจากราชการก็จะให้เงินบำนาญเท่าเงินเดือนที่รับเวลาจะออกมาจากราชการแล้ว

นายแม็คคาร์ธีตกปากรับคำที่จะเข้ามารับราชการในฐานะลูกจ้างรัฐบาลสยามอย่างเต็มใจ เขาคือผู้วางรากฐานวิชาการทำแผนที่ให้กับคนไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นผู้ให้กำเนิดกรมแผนที่ของสยาม และผู้จัดทำแผนที่สยามฉบับแรกที่สมบูรณ์ที่สุด ต่อมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางมีราชทินนามว่า “พระวิภาคภูวดล”

ใน พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมแผนที่ขึ้นเพื่อฝึกหัดคนไทยให้รู้ประโยชน์ของแผนที่ โดยให้นายแม็คคาร์ธี เป็นผู้รับผิดชอบ และสร้างโรงเรียนแผนที่ขึ้นที่ตึกแถว 2 ชั้นที่หน้าประตูพิมานไชยศรีติดกับพระบรมมหาราชวัง

เมื่อแรกตั้งกรมแผนที่นั้น คนกรุงเทพฯ ไม่ชอบเลย เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น เกรงว่ารัฐบาลจะต้องการที่ดินเอกชนเพื่อก่อสร้างหน่วยงานราชการบ้าง เพื่อเอาที่ตัดถนนบ้าง และทั้งรังเกียจที่จะให้ไปรังวัดที่ดินในบ้านเรือน ในสมัยมีการทำแผนที่ใหม่ๆ นั้น วังเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่มีผู้หญิงเป็นนางละครหลายแห่ง ดังเช่นบ้านเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง และบ้านเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ที่เป็นคณะละครมีชื่อเสียงเลื่องลือในสมัยนั้น จำเป็นต้องหวงแหนไม่อยากให้พนักงานแผนที่เข้าไปในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะมีผู้หญิงสาวอยู่รวมกันมาก เมื่อพนักงานเข้าไปทำแผนที่ในบ้านดังกล่าว ต้องจัดให้มีคนคุมประจำตัวเจ้าหน้าที่ทุกคนจนเสร็จ

ในระยะเริ่มต้นนายแม็คคาร์ธีจึงออกนอกพื้นที่ไปรังวัดที่ดิน และสำรวจพื้นที่ต่างจังหวัดที่อยู่นอกกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่เพื่อสร้างผลงานและค่อยๆ ทำให้ชาวสยามเห็นว่าแผนที่เป็นสิ่งจำเป็นของการมีรัฐชาติที่มีอิสระ และจะมีบทบาทอย่างยิ่งในการปรับปรุงกรุงเทพฯ และท้องถิ่นสยามให้ทันสมัย การเติบโตของตัวเมือง และนโยบายปฏิรูปต่างๆ ในรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำถนน ทางรถไฟ รถราง วางเสาโทรเลข และก่อสร้างตึกรามบ้านเรือน จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีแบบตะวันตก และคนไทยก็จะคุ้นกันไปเอง…

…ปัญหาจากศึกฮ่อก็คือ เวลาไทยรบพวกฮ่อ ฮ่อสู้ไม่ได้ก็หนีเข้าไปหลบในแดนญวน (ตั่งเกี๋ย) ญวนก็หันมาปราบฮ่อ ด้านญวนพอฮ่อสู้ไม่ได้ก็หลบกลับเข้ามาในแดนไทย เป็นเช่นนี้มากกว่า 10 ปี ฝรั่งเศสจึงเสนอตัวที่จะเข้ามาในแคว้นสิบสองจุไทเพื่อช่วยไทยปราบฮ่อ ปัญหาต่อมาคือสิบสองจุไทมีชายแดนติดกับตังเกี๋ยของญวนซึ่งฝรั่งเศสเพิ่งจะยึดมาได้จากจีน ทว่า พรมแดนดังกล่าวไม่มีหลักหมุดเขตแดนเลย ไทยจึงเร่งให้นายแม็คคาร์ธีขึ้นไปทำแผนที่ขึ้นเพื่อ “ตัดไม้ข่มนาม”

รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำรัสส่งท้ายถึงเหตุผลที่จะต้องมีการสำรวจเพื่อปักปันเขตแดนในช่วงเกิดศึกฮ่อซึ่งคาบเกี่ยวกับสงครามตังเกี๋ยว่า

“การที่จัดทัพครั้งนี้ เพราะทรงเห็นว่าฝรั่งเศสคิดส่งกำลังเข้ามาปราบฮ่อธงดำ กลัวจะหนีเตลิดเข้ามาในพระราชอาณาเขตต์และฝรั่งเศสเพิ่งได้เมืองญวนจะลุกลามเข้ามารุกรานเขตต์แดนซึ่งจะคิดเซอร์เว (สำรวจทำแผนที่) ไว้สำหรับโต้เถียง”

ดังนั้นใน พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885) รัชกาลที่ 5 จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) ยกทัพไปปราบโจรจีนฮ่อ และให้มีการทำแผนที่ร่วมไปกับกองทัพด้วย ซึ่งมีแม็คคาร์ธีเป็นหัวหน้า มีผู้ช่วยคือพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง วิริยศิริ) เป็นต้น

กองทำแผนที่ไปแยกกับกองทัพที่เมืองน่าน เพราะกองแผนที่เดินทำแผนที่ขึ้นไปทางลำน้ำน่านจนสุดปลายน้ำข้ามสันปันน้ำไปถึงแม่น้ำโขงที่บ้านท่านุ่น แล้วลงเรือทำแผนที่แม่น้ำโขงไปนครหลวงพระบาง พักคอยจนเจ้าหมื่นไวยวรนาถยกทัพไปถึง เพื่อปรึกษาหารือการที่จะทำแผนที่ร่วมมือกับกองทัพต่อไปจนถึงหลวงพระบางและเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหก เสร็จแล้วนายแม็คคาร์ธีหรือพระวิภาคภูวดล ได้ยกกองทำแผนที่ลำน้ำโขงลงมาบ้านปากลาย เมืองอุตรดิตถ์ เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย ล่องกลับกรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมจัดการพิมพ์แผนที่เมืองไทยทั่วทั้งประเทศ ใช้เวลาจัดทำทั้งสิ้น 5 ปีเต็ม

เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว พระวิภาคภูวดลได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กรมแผนที่รวบรวมแผนที่ที่กรมแผนที่ทำกับแผนที่ของอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีอยู่แล้วขึ้นเป็นแผนที่ประเทศไทย และใน พ.ศ. 2430 พระวิภาคภูวดลก็ได้นำแผนที่ประเทศไทยที่รวบรวมได้นั้นเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อจัดการพิมพ์ต่อไป จึงเป็นอันว่า แผนที่ประเทศไทยได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับแรก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ใน พ.ศ. 2430 และได้ถูกส่งกลับเมืองไทยใน พ.ศ. 2431 ทางราชการได้ใช้สืบต่อมาจนบัดนี้ เรียกว่าแผนที่เมืองไทยฉบับแม็คคาร์ธี

รายงานการสำรวจและพิมพ์เขียวฉบับที่นายแม็คคาร์ธีจัดพิมพ์ขึ้นครั้งแรกก็คือฉบับที่เขานำไปแสดงปาฐกถาพิเศษ ณ ราชสมาคมภูมิศาสตร์ แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 (พ.ศ. 2431) เป็นฉบับเดียวกันกับที่นำออกประมูลขายที่กรุงลอนดอนเมื่อต้นปี พ.ศ. 2557 นี้ บัดนี้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยต้นทางของแผนที่แล้ว


เผยแพร่ข้อมูลในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 มีนาคม 2564