
ผู้เขียน | หนุ่มบางโพ |
---|---|
เผยแพร่ |
ส. พลายน้อย เขียนอธิบายใน “กระยานิยาย” ว่า คนไทยในอดีตไม่นิยมกินข้าวนอกบ้าน เพราะสมัยก่อนทำงานนอกบ้านเช่นทำไรทำนาก็เตรียมข้าวไปกินเอง หรือมีคนเอาไปส่ง คนที่กินข้าวนอกบ้านมีแต่พวกข้าราชการ
ปรากฏหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า “ร้านชำหุงข้าวแกงขายคนราชการ” โดยตั้งร้านอยู่บริเวณใกล้กับพระราชวัง ข้าวแกงในอดีตจึงนิยมกินกันในหมู่ข้าราชการ ที่ออกจากบ้านมาทำงานหลวง จะกลับไปกินข้างที่บ้านคงไกลหรือกลับไม่ได้
ส. พลายน้อย อธิบายว่า ข้าวแกงน่าจะมีมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีเรื่องที่เล่าไว้ในหนังสือพิมพ์ยุคนั้นว่า บางคนขายข้าวแกงจนร่ำรวย เช่น ตาเพ็งขายข้าวแกงจนมีเงินสร้างวัดไว้ที่บ้านบ่อโพง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรียกว่า วัดราษฎร์บำเพ็ญ ตามเรื่องว่า ในครั้งนั้นมีแต่ตาเพ็งกับแม่พุก 2 คนเท่านั้นที่ตั้งร้านขายข้าวแกงอยู่ที่สี่แยกบ้านหม้อ เป็นร้านชื่อดังของที่นั่น
การขายข้าวแกงสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ได้ตักแกงมาราดข้าว แต่ทำเป็นสำรับ จัดของใส่จานชามตั้งบนโต๊ะไม้ คือ โต๊ะลาวทาชาดสีแดง ๆ และบ้างก็เป็นโต๊ะทองเหลืองหรือที่เรียกว่า โตก เป็นพานขนาดใหญ่ มีทั้งสำรับคาว และสำรับหวาน ราคาที่ 1 สลึง
สำรับโต๊ะไม้ราคา 1 สลึงมีแกง 1 ถ้วย ผัด 1 จาน น้ำพริก 1 ถ้วย ผัก 1 จาน ปลาย่าง 1 จาน หากจ่ายเพิ่มอีก 1 สลึง ได้แกงเผ็ด แกงจืดเพิ่ม หากอยากกินหรูขึ้นอีกก็ต้อง “Upgrade” เป็นสำรับโต๊ะทองเหลือง
สำรับโต๊ะทองเหลือง จะมีกับข้าวมากกว่าสำรับโต๊ะไม้ ได้นั่งบนพรมเจียมอย่างดี กระโถนและขันน้ำเป็นทองเหลือง ขณะที่สำรับโต๊ะไม้ ต้องนั่งบนเสื่อกระจูด กระโถนและขันน้ำเป็นดินเผาถูก ๆ
“ใครกินโต๊ะทองเหลืองก็ออกจะโก้หน่อย แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีรับประทาน” ส. พลายน้อย อธิบาย

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 ตุลาคม 2563