ทำไมคนรบกัน? จากกรณีเยอรมัน-ฝรั่งเศส สู่ไทย และจีนรบกันเอง โดย หลวงเมือง

"ทหารญี่ปุ่นบุกขึ้นฝั่งในอันดามันเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942" (ระบุเพียงอันดามัน ไม่ระบุสถานที่หรือประเทศใด)

ประวัติศาสตร์บอกเราว่าเมื่อรัฐใดสะสมกำลังทางทหารจนเกินขีดความสามารถของผู้นำที่จะควบคุมไว้ให้อยู่ในเงื้อมมือได้แล้ว รัฐนั้นพึงกระทำสงครามโดยไม่ชักช้ากับรัฐที่ร่ำรวยแต่อ่อนแอที่สุดซึ่งเป็นรัฐเดียวกันเสมอ อย่างจักรพรรดิไกเซอร์ทรงทำสงครามกับฝรั่งเศสในมหายุทธสงครามที่ 1 และนาซีปราบฝรั่งเศสราบคาบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทราบกันทั่วไปว่า กรุงปารีสเป็นมหานครอันสุดยอดแห่งความหฤหรรษ์

คนกวาดถนนทำงานเสร็จก็เก็บไม้กวาด เปลี่ยนเสื้อผ้าจากเครื่องแบบทำงานเป็นชุดราตรีโก้หรู สังคมชาวปารีสมิได้แบ่งชั้นวรรณะกันที่งานแต่อยู่ที่สตางค์ ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รองเท้าลีลาศของชาวฝรั่งเศสปลายแหลมเปี๊ยบ เทพบุตรสังคมต้องยอมตัดนิ้วก้อยเท้าทั้ง 2 ข้างออก เพื่อให้สวมรองเท้าแบบนั้นได้

สมัยนั้นน้ำหอม ซัว เดอ ปารี ยังเป็นของชนชั้นสูง มิได้รับการดูถูกว่าใช้กันในวงการ Curry (กะหรี่) อย่างสมัยหลังสงคราม

ส่วนเมืองไทย เหตุผลในการทำสงครามแตกต่างจากเยอรมนีและญี่ปุ่น เพราะฝรั่งเศสจะยกอินโดจีนให้ญี่ปุ่น รัฐบาลไทยหรือ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าถ้าเราไม่เสนอให้ปรับปรุงดินแดนที่เสียแก่ฝรั่งเศสแล้ว รัฐบาลต้องมีคำตอบแก่อนุชนของเราให้ได้ การสร้างสมแสนยานุภาพของไทยซึ่งเกิดขึ้นเพื่อรักษาราชอาณาเขตเท่าที่มีอยู่ จึงเป็นเครื่องมือของการทำสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะข้าศึกเราโจมตีก่อน

กล่าวกันว่าการที่รัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสท้าทายข้อเรียกร้องของไทย เพราะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลชุดสงครามของญี่ปุ่น โดยเปิดเผยจุดอ่อนแข็งของเรือรบไทยทุกลำที่สั่งต่อจากอู่ต่อเรือของญี่ปุ่นก่อนสงคราม แต่นั่นอาจเป็นข้อแก้ตัวของฝ่ายสงครามจิตวิทยาที่นั่งโฆษณาชวนเชื่ออยู่ที่ทำเนียบสามัคคีชัย ด้วยการรบทางเรือครั้งนั้นเป็นสงครามเครื่องจักรไอน้ำ กว่าจะติดเครื่องได้ต้องใช้เวลาครึ่งวัน เช่น ร.ล. สงขลากับ ร.ล. ชลบุรี ต่างกับ ร.ล. ธนบุรี ซึ่งใช้เครื่องดีเซลซึ่งหะเบสสมอมารบกับเรือลา มอตปีเกต์ ได้ทันที และสัประยุทธ์กับข้าศึกอย่างสมเกียรติทหารเรือไทย แม้จะจมก็ไขก๊อกจมตัวเองเพราะเกิดไฟไหม้ลุกลามเกินกว่าที่จะดับได้

คิดดูก็น่าพิศวงที่เมืองไทยเป็นประเทศเอกราชเล็กๆ ในบุรพทิศที่รักษาอิสรภาพจากการรุกรานของมหาอำนาจผิวขาวด้วยอาวุธและยุทธวิธีของพวกผิวขาวเอง เช่นเมื่อกองเรือรบข้าศึกตีฝ่าแนวป้องกันของเราเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 ก็ถูกยิงขู่และขัดขวางด้วยปืนป้อมที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ด้วยพระราชทรัพย์ เป็นปืนที่พวกเขาใช้รบกับพวกเรา มิใช่หอกใบพายที่นักรบแสนกล้าของอบิสซีเนีย ใช้รบกับกองทัพของมุสโสลินี แสดงว่าแม้ในหมู่ชนผิวดำและผิวเหลืองก็มีคนใจเพชรปะปนอยู่ด้วยเสมอ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้าทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี และเอาสเตรียฮุงการี เมื่อปี พ.ศ. 2460 และอีก 25 ปีต่อมา ไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เห็นได้ว่าคู่ศึกของเรามีแต่มหาอำนาจชั้นอ๋องๆ ทั้งนั้น ประเทศกระจอกงอกง่อยไม่มีทางที่เราจะประกาศสงครามด้วย

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวสงครามกลางเมืองในประเทศสเปน แบ่งเป็นฝ่ายแดงกับฝ่ายขาว แต่ฝ่ายแดงมิใช่ฝ่ายซ้าย แต่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ในการนั้นรัฐบาลสยามได้พิมพ์สมุดปกขาวแจกจ่ายทั่วไป มีเรื่องและภาพถ่ายความเสียหายของทั้ง 2 ฝ่าย รูปภาพที่ยังจำได้ติดตาคือ พวกกบฏขุดศพนางชีขึ้นมาประจาน เมื่อทหารโคราชปฏิวัติซ้อนในปี พ.ศ. 2476 ข้าพเจ้าตื่นเต้นเพราะพี่ชายซึ่งเป็นลูกเสือของโรงเรียนมัธยมวัดนวลนรดิศ ถือไม้พลองสีขาวมารักษาการณ์ที่ตลาดพลูอันเป็นชุมชนใหญ่สำคัญแห่งหนึ่ง เป็นต้นทางไปวังเจ้านายชั้นสูง ณ ประตูน้ำภาษีเจริญ

ประเทศต่างๆ ในโลกต่างกับเมืองจีน ด้วยจีนมีอาณาจักรใหญ่โตมหึมา พลเมืองก็มากมายที่สุด จีนจึงรบกันเองบ่อยมาก การรบครั้งสำคัญของจีนมี 2 ครั้ง คือ สมัย 3 ก๊กครั้งหนึ่ง กับสมัย 2 ก๊กหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ จอมพลพิเศษเจียงไคเช็คกับเมาเซตุง หรือก๊กมินตั๋งกับก๊กกุงชานตั๋ง ท่านที่จะศึกษาสงครามสามก๊กย่อมอ่านได้จากหนังสือ สามก๊ก ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) กับ สามก๊กฉบับวณิพก ของ ยาขอบ ได้โดยสะดวก

ก่อนจะเกิดสงครามสามก๊ก ได้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง คือ ผู้มีอำนาจบริหารฉ้อราษฎร์บังหลวง แย่งชิงอำนาจกัน ริษยากัน เป็นเหตุให้มีผู้ฉวยอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ได้ คือ ตั๋งโต๊ะ เมื่อตั๋งโต๊ะทำการที่ในหนังสือสามก๊ก เรียกว่าหยาบช้า ก็ย่อมมีผู้รักชาติคิดต่อต้านโค่นอำนาจของตั๋งโต๊ะ โดยใช้อุบายยกสาวสวยให้ลิโป้ลูกเลี้ยงของตั๋งโต๊ะก่อน แต่ยังไม่ส่งตัวหญิงงามคือ (เตียวเสี้ยน) ให้ แต่แล้วกลับยกนางนั้นให้ตั๋งโต๊ะทันที ตั๋งโต๊ะไม่รู้เท่าทันแทคติคนี้จึงรับนางเตียวเสี้ยนไว้เป็นภริยาน้อยทันที ท่านผู้อ่านผู้เจริญด้วยปฏิภาณและธนสารสมบัติโปรดตรองดูเถิดว่า ถ้าท่านเป็น ฯพณฯ ตั๋งโต๊ะจะทำอย่างไรกับเตียวเสี้ยนซึ่งสวยที่สุด ไร้เดียงสาที่สุด และในทำเนียบก็มียาโป๊วประเภทเขากวางอ่อน โสมเกาหลี ตังกุย เนกกุ่ย ฯลฯ เพียบ ตั๋งโต๊ะคงมีกำลังประดุจซิยิ่นกุ้ย เตียวเสี้ยนจะไปเหลืออะไร

ตั๋งโต๊ะมีที่ปรึกษาชั้นยอดคือลิยู อันลิยูนี้มีผู้ชำนาญเรื่องสามก๊กบอกข้าพเจ้าว่าเป็นบุตรเขยของตั๋งโต๊ะ ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่มากทั้งยศและศักดิ์ ลิยูรู้ว่าตั๋งโต๊ะกับลิโป้ทหารเสือกินแหนงแคลงใจกันด้วยเรื่องนางงามคนเดียวนี้ก็ชี้แจงแสดงเหตุผลจนตั๋งโต๊ะใจอ่อนเห็นว่าควรยกเตียวเสี้ยนให้ลิโป้ แต่หญิงงามผู้นี้เฉลียวฉลาดอ้างว่าเป็นเมียพ่อแล้ว จะยกให้เป็นเมียลูกก็ยอมตายดีกว่า ตั๋งโต๊ะก็เห็นจริง เป็นเราก็ต้องเห็นเช่นนี้ คือเรามีเมียน้อย แล้วมีคนมาบอกให้เรายกเมียน้อยให้ลูกของเรา แม้เราจะยอมลูกเราก็คงไม่รับประทาน แต่ลิโป้ยอมซึ่งก็ต้องแล้วแต่เขา ดังนั้นเมื่อลิยูไปเซ้าซี้ให้ตั๋งโต๊ะยกเตียวเสี้ยนให้ลิโป้อีก ตั๋งโต๊ะจึงย้อนให้ด้วยความโกรธว่า

“ถ้าท่านมีใจรักลิโป้อยู่ จงเอาภริยาท่านมายกให้แก่ลิโป้เองเถิด”

และคาดโทษโดยออกเป็นคำสั่งว่า ต่อไปใครนำเรื่องนี้มาพูดอีกจะตัดศีรษะ ลิยูได้ฟังก็คำนับลาออกมาหน้าทำเนียบ พบนายทหารหนุ่มๆ ที่เป็น ทส. เสธ. ประจำตัวผู้บังคับบัญชา และนายทหารติดต่อที่มารอรับคำสั่งกันอยู่ ก็พูดแก่นายทหารเหล่านั้นว่า

“เราท่านทั้งนี้จะพากันฉิบหายเพราะอีนางเตียวเสี้ยนคนนี้เป็นมั่นคง”

นี้เป็นจุดสะเทือนใจระหว่างลิโป้ทหารเสือกับตั๋งโต๊ะ ทำให้พวกต่อต้านคิดอ่านใช้ลิโป้เป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติตั๋งโต๊ะซึ่งทำสำเร็จ แต่เป็นการปฏิวัติที่ไม่มีแผนรองรับ สำเร็จแล้วดำเนินการต่อไม่ได้ ทำให้ลิฉุยกับกุยกีนายทหารคนสนิทของตั๋งโต๊ะปฏิวัติซ้อน

การที่ลิฉุยกับกุยกียึดอำนาจจากคณะปฏิวัติได้ ไม่น่าอัศจรรย์เหมือนแผนการสร้างความแตกแยกระหว่างบุคคลสำคัญทั้งสองนี้


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 สิงหาคม 2563

บทความเดิมชื่อ “ทำไมคนรบกัน”