การตรวจสุขภาพทหารที่จะไปร่วมรบสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่น่ามึนงง และจั๊กจี้?!?

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กำลังพระราชทานเหรียญที่ระลึกในงานพระราชสงคราม ณ ทวีปยุโรปแก่เหล่าทหารอาสา (ภาพจาก “ทหารอาสาสงครามโลกอนุสรณ์” )

สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐไทยส่งทหารกว่าพันนายไปร่วมรบในสงครามครั้งนั้น โดยเข้ากันฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ เกี่ยวเรื่องนี้มีผู้เขียนไว้ในมากมาย ในหลากหลายมิติ

ส่วนที่จะนำคัดมานำเสนอนี้ ส.ท. เหรียญ มีเดช ทหารที่ได้ไปร่วมสงครามเขียนไว้เป็นตอนหนึ่งในหนังสือ “ทหารอาสาสงครามโลกอนุสรณ์” ของสมาคมสหายสงคราม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการพิมพ์ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2499 ในงานระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2460-2462) ชื่อตอนว่า “ทหารปอดพรุน” (โดยมีการจัดวรรคย่อหน้าใหม่ เพื่อสะดวกในการอ่านและการสั่งเน้นตัวเข้มบางตำแหน่ง)


 

เมื่อก่อนประกาศสงครามโลกครั้งแรก ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการประจํากรมตำราทหารบก ทางราชการประกาศสงครามกับประเทศเยอรมันนี เอาสเตรีย ฮุงกาเรีย เข้ากับสัมพันธมิตรมี อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น ต่อไปมิช้า ทางกรมเสนาธิการทหารบกได้ออกประกาศแจ้งความแก่บรรดาข้าราชการชั้นสัญญาบัตรของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นพลเรือน มีความว่าถ้าผู้ใดมีใจสมัครจะอาสาไปในงานพระราชสงคราม ณ ทวีปยุโรปครั้งนี้ก็ให้ยื่นใบสมัครได้ที่กรมเสนาธิการทหารบก

พอประกาศแจ้งความออกในวันนั้น ข้าพเจ้าก็รีบเขียนใบสมัคร ยื่นต่อกรมเสนาธิการทหารบกในทันที ทูลกระหม่อมเสนาธิการรับสั่งว่า เจ้าหมอนี่ใจเด็ดเร็วพอใช้ รับสั่งต่อไปอีกว่า ให้รอไว้ก่อนจนกว่าจะได้พิมพ์แบบฟอร์มเสร็จ แล้วจึงค่อยกรอกข้อความในแบบฟอร์มยื่นสั่งมา พอกรมตําราทหารบกพิมพ์แบบฟอร์มเสร็จ ข้าพเจ้ารับไปขอมา 2 แผ่น แล้วกรอกข้อความลงไปทันที ยื่นต่อหัวหน้าแผนกๆ ส่งให้เจ้ากรมๆ ส่งต่อเสนาธิการในวันนั้น

ต่อมามิช้าคำสั่งก็ออกแจ้งมายังข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าไปรับการคัดเลือกที่กองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยทหารบก (เวลานี้เป็นกรมแผนที่ทหารบก) ข้าพเจ้าได้รับการคัดเลือกตามเวลากําหนด พอถึงเต๊นท์กองบัญชาการคัดเลือก ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ เอาคำสั่งจากกรมเสนาธิการทหารบกไปแสดงให้เขาดู เขาก็หยิบบัตรมา 1 แผ่นจดรายการ ชื่อ แช่ ตําแหน่ง อายุ แล้วก็สั่งให้ข้าพเจ้านำไปหานายแพทย์ตามเต็นท์ต่างๆ ข้าพเจ้าจะขอเรียกเป็นเหล่านี้ว่า ด่านตรวจโรค ด่านแรก เขาตรวจตา พอเสร็จก็หยิบบัตรมาจดลงในหลังบัตรว่า Trachoma แล้วก็ส่งคืนให้ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดว่า คุณเป็นทราโคม่า แต่เพิ่งเป็นอาจรักษาหายได้ทันไป

ให้ข้าพเจ้าไปรับตรวจด่านที่ 2 ต่อไป เขานําข้าพเจ้าเข้าไปในม่านให้ข้าพเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าม่วงออก เพื่อจะตรวจของสําคัญ ข้าพเจ้านึกในใจว่า เขาคงจะดูว่าข้าพเจ้าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงแน่ และก็เป็นชายฉกรรจ์ที่จะไปรบกับข้าศึกศัตรูได้ด้วยก็ยังมิยอมปล่อยให้ข้าพเจ้าไปได้ง่ายๆ กลับตรงเข้าจับเพศของข้าพเจ้าลูบคลำเล่น

ข้าพเจ้าคิดต่อไปว่า ท่านนายแพทย์ผู้นี้คงจะมิยอมให้ข้าพเจ้าไปรบกับข้าศึกศัตรูแต่กับเพศชาย คงจะหวังให้ข้าพเจ้าไปรบกับข้าศึกศัตรูที่เป็นหญิงด้วย ถึงแม้ศัตรูจะเป็นเพศหญิงก็รบได้ จึงได้ตั้งอกตั้งใจตรวจตราเสียอย่างละเอียดลออว่า อ้ายหนูของข้าพเจ้ามิได้ป่วยไข้ได้เจ็บแต่ประการใด เขาก็หยิบบัตรชื่อ แช่ จดลงในด้านหลังว่า กามโรคไม่ปรากฏแต่อย่างใด แล้วก็ส่งบัตรคนให้ข้าพเจ้าได้ไปตรวจด่านที่ 3 อีกต่อไป

ด่านนี้เป็นด่านสุดท้ายจะถูกสั่งปล่อยหรือประหารก็ด่านนี้แหละ พอโผล่เข้าไปในด่านที่ 3 นี้ ก็เจอนายแพทย์ฝรั่ง เขารับบัตรของข้าพเจ้าไปอ่านดูชื่อ แซ่ แล้ววางเอาก้อนหินทับไว้ แล้วสั่งให้ข้าพเจ้าถอดเสื้อชั้นในออก แต่ไม่ต้องแก้ผ้าอย่างด่านที่ 2 ตาหมอแกเอาเครื่องตรวจฟังดูตามหน้าอกหน้าใจแลด้านหลัง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ท่านเป็นปอดพรุน” ไปเมืองนอกไม่ได้

พอข้าพเจ้าได้ยินว่าข้าพเจ้าปอดพรุนเท่านั้น รู้สึกฉิวทันที เพราะข้าพเจ้ารู้สึกตัวของตัวดีว่ามิได้เคยเป็นพระญาติพระวงศ์ของเสด็จในกรมฯ แม้แต่นิดเดียว ข้าพเจ้าจึงได้คัดค้านนายแพทย์ฝรั่งเศสคนนี้ว่าไม่จริง เถียงโต้ตอบกันเอะอะจนนายแพทย์ใหญ่โผล่หน้าออกมาจากด้านในและถามข้าพเจ้าว่า อะไรกัน?

ข้าพเจ้าตอบว่า มองซิเออร์แพทย์คนนี้ ตรวจผมว่าปอดพรุน ความจริงผมไม่ได้เคยเป็นโรคหรือแม้แต่ไอก็มิได้เคย แล้วปอดของผมจะพรุนได้อย่างไร ร่างกายของผมเป็นปรกติสมบูรณ์ดี

ท่านนายแพทย์ใหญ่พอได้ฟังก็พูดว่า เอ้าผมจะตรวจให้เอง พอพูดแล้วท่านไปคว้าเอาเครื่องฟังใส่หู และเอาปากเครื่องแตะตามหน้าอกและด้านหลังอีกเช่นเดียวกัน แล้วพูดว่าจริงของเขาคุณปอดพรุนแน่ และขอดูบัตร ชื่อ แซ่ ข้าพเจ้าไปที่ก้อนหินทับ ท่านเดินไปหยิบเอามาอ่านด้านหน้าแล้วพลิกอ่านด้านหลัง แล้วพูดว่า

คุณไปไม่ได้ดอกนัยน์ตาก็เป็นทราโคม่า ปอดก็พรุนจะไปได้อย่างไร อย่าไปเลย ว่าแล้วก็ฉีกบัตรชื่อแซ่ออกเป็นหลายชิ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าปิดฉาก เลิกการแสดงละครบทสมัครอาสาได้ ข้าพเจ้าจำใจว่าต้องลากลับออกมาจากสถานที่คัดเลือก กลับกรมอย่างคนหมดหวัง นึกสลดใจตนเองว่า เรานี้เคราะห์ร้ายแท้ ร่างกายเราดีๆ ทําไมเขาจึงตรวจว่าเราปอดพรุน เกิดมาชาติหนึ่งอยากจะเล่นละครแห่งชีวิตให้ครบทุกฉาก

ฉากแรกเราเล่นเป็นนักเรียนเดินถือหนังสือไปโรงเรียนเช้า-เย็นกลับบ้านทุกวัน จนหมดฉาก ฉาก 2 ออกจากโรงเรียนแล้วเข้ารับราชการในกรมศุลกากร ฉากนี้แหละเป็นตัวพระเอกรูปหล่อ ผู้หญิงติดกรอแทบไม่เว้นแต่ละวัน ออกโรงอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ไม่กี่ปีต้องย้ายออกไปเล่นอยู่หัวเมืองราชบุรี  ไม่ถึงปีต้องปิดวิกเลิกแสดงกลับเข้ากรุงตุหรัดตุเหร่อยู่พักหนึ่งก็ได้แสดงอีกฉากหนึ่ง

ฉากนี้แสดงเป็นตัวพระ บวชอยู่ในวัดมหาพฤฒาราม 1 พรรษา ในระหว่างแสดงเป็นตัวพระนี้ต้องเล่นอย่างแนบเนียน แม้จะเดินทางไปไหน เห็นสีกาเดินผ่านต้องหลบติดถนน ดูราวกับว่าเป็นตัวกิ้งกือ ฝ่ายสีกาไม่ใคร่จะหลีกพระเสียด้วย ครั้นสึกออกแล้วซิ ผู้หญิงหลีกติดถนน มันตรงกันข้ามอย่างนี้ คราวนี้อยากจะขอแสดงเป็นตัวพระเอกชนิดโรม๊านซ์สักฉากก็หมดหวัง ถ้าร่างกายเราชํารุดทรุดโทรมแสดงไม่ได้ เรามิน้อยใจเลย

เมื่อนึกถึงว่าแล้วแต่บุญกรรมก็หมดวิตก และก็เลยนึกถึงตาของเราว่า อ้ายทราโคม่านี่มันโรคอะไรหว่า? ลองกลับเข้าไปถามนายด่านที่1 ดูทีหรือ เมื่อนึกเสร็จก็เข้าไปถามเขา นายแพทย์ด่านที่ 1 บอกว่า คุณเป็นริดสีดวงตาหรือตาแดงเรื้อรัง อย่าทิ้งเอาไว้นานตาจะบอด ข้าพเจ้าก็แสดงความขอบใจลากลับเข้ากรมทำงานตามเคย

รุ่งขึ้นอีก 2 วัน ข้าพเจ้าลาหัวหน้าแผนกไปให้หมอที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ตรวจตา พอขึ้นบันไดไปถึงพื้นชั้นล่างพอดีกับท่านแพทย์ใหญ่เดินลงมาจากชั้นบนถึงข้างล่างพอดี (นายแพทย์คนที่ฉีกบัตรทิ้งเมื่อวันตรวจโรคในด่านที่ 3) ท่านยิ้มและถามว่ามาธุระอะไร ข้าพเจ้าเปิดหมวกยกมือไหว้แล้วตอบกับท่านว่า ผมมาขอให้แพทย์ที่รักษานัยน์ตาผมที่ว่าเป็นทราโคม่า

ท่านหันไปเรียกนายแพทย์คนหนึ่งซึ่งกําลังเข้าเวรอยู่ นี่หลุยคุณพาท่านผู้นี้ไปตรวจดูที่ว่าโรคทราโคม่าที่เป็นนั้น จะรักษาให้หายได้ทันไปสงครามคราวนี้หรือไม่ ถ้าพอจะรักษาทันก็ให้เริ่มลงมือรักษาให้หายโดยเร็ว แล้วคุณหมอหลุยพาข้าพเจ้าไปรักษา (หมอหลุยเวลานี้คือหลวงประจักษ์ฯ) ข้าพเจ้ารู้สึกงงและตื่นเต้นในคำสั่งของท่านนายแพทยใหญ่ว่า เมื่อวานซืนนี้มันหลังมือ เวลานี้มันหน้ามือ “มันยังไงกันนี่หว่า” ท่านคงจะลืมอ้ายปอดพรุนของข้าพเจ้าเสียแล้วกระมัง หรือเทวดาจะดลใจท่าน ให้ข้าพเจ้าได้แสดงละครฉากอ้ายพรมเสนาอีกฉากหนึ่งเป็นแน่

หมอหลุยรักษาข้าพเจ้าอย่างคนไข้วิสามัญ เอาสโนว์ใส่ตา และสั่งให้มาพบกับหมอไฮเอ็ดในเช้าวันมะรืนนี้เวลา 9.00 น. ตามกำหนดวันข้าพเจ้าปรากฏตัวอยู่ในห้องรักษาตาเรียบร้อย พอหมอไฮเอ็ดมา หมอหลุยรายงานให้ทราบถึงเรื่องของข้าพเจ้า

ท่านหมอมองมายังข้าพเจ้าและเดินมาถามว่าทำไมจึงรู้ว่าเป็นทราโคม่า ข้าพจ้าก็บอกว่า หมอที่คัดเลือกทหารอาสาได้ตรวจและบอกว่าพึ่งเป็นใหม่ๆ พอที่จะรักษาได้ทัน หมอจับตาข้าพเจ้าเปิดตรวจอีกครั้งแล้วหัวร่อ ตบหลังข้าพเจ้าเบาๆ ว่าดีมากๆ รักษาไม่ช้าก็หายไปได้ดี ยินดีมากๆ หันไปทางหมอหลุย หมอหลุยเขียนใบรับรองเดี๋ยวนี้ภายใน 1 เดือนหายดีไปได้ ฉันเซ็นชื่อรับรอง

แทนที่หมอหลุยจะเอากระดาษธรรมดาเขียนเป็นใบรับรอง กลับไปเอากระดาษบัตรที่นายแพทย์รับรองให้ข้าราชการที่เจ็บป่วยลาหยุดได้เท่านั้นเท่านี้วัน มากรอกเป็นบัตรรับรองให้ข้าพเจ้าหยุดราชการ 1 เดือน เพื่อถือนำไปให้เจ้าหน้าที่คัดเลือกในวันนัดพิเศษสําหรับขบปัญหาข้อขัดข้องเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังไม่เรียบร้อยหรือบางท่านที่ติดขัดในบางกรณี ให้มาว่ากันเสียในวันนี้ให้เสร็จสิ้น

ในวันคัดเลือกพิเศษนี้ ข้าพเจ้าถือเอาคำของท่านายแพทย์ใหญ่ที่คราวแรกท่านเป็นผู้ติเพื่อทำลาย (แล้วคงจะลืม) ที่คราวนี้ท่านเป็นผู้สั่งหมอหลุยให้รีบรักษาตาข้าพเจ้าเพื่อก่อ ข้าพเจ้าต้องทําลืมว่าข้าพเจ้าปอดไม่เป็นพรุนบ้าง ข้าพเจ้าไปปรากฏตัวอีกคราวหนึ่งในวันนั้น ทำตัวเป็นคนมีปัญหาขัดข้องในเรื่องรักษาตาหรือรักษาตาหายไม่หาย บัตรชื่อแซ่ (ไม่ปรากฏเพราะถูกฉีกลงกระโถน) ถือแต่บัตรหมอไฮเอ็ดไปแผ่นเดียว

นายด่านใหญ่คือเจ้าคุณเฉลิมอากาศ (เวลานั้นเป็นคุณพระ) พอข้าพเจ้าโผล่หน้าเข้าไปท่านก็ยิ้ม ข้าพเจ้าเปิดหมวกยกมือไหว้ ท่านก็ทักว่า “จะไปกับเขาด้วยหรือ” ข้าพเจ้าตอบว่าครับ ในขณะเดียวกันก็ได้ยื่นบัตรรักษาตาภายใน 1 เดือน (บัตรอนุญาตให้หยุดได้) ให้แก่ท่าน ท่านรับเอาไปอ่านเสร็จมองหน้าข้าพเจ้าแล้วถามว่า “อยากไปหรือ?” ข้าพเจ้าก็ตอบกับท่านว่า “ถ้าผมไม่อยากไปผมจะมาสมัครอาสาไปทำไมเล่าครับ” ถ้าอย่างนั้นวัดตัวได้ พลางชี้มือให้ข้าพเจ้าไปวัดตัวที่เจ้าหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ว่า โอ.เค.

ข้าพเจ้าได้ไปทําศึกสงครามกับศัตรูทั้งเพศชายหญิง ในทวีปยุโรปมาอย่างโชกโชนและกลับมาสู่บ้านเกิดล่วงมาตั้ง 15 ปีเศษเข้านี่แล้ว อ้ายเจ้าโรคปอดพรุนไม่เห็นมันแสดงปรากฏการณ์ให้ข้าพเจ้าเห็นและรู้สึกเลยแม่แต่น้อย สุขภาพสังขารของเข้าพเจ้าแม้จะอายุมาก แต่กลับสมบูรณ์แข็งแรงอ้วนอย่างไม่น่าเชื่อ แปลกแท้ๆ แปลกจริงๆ หรือจะเนื่องด้วยเหตุอันใด ขอท่านผู้อ่านที่นับถือ ช่วยกรุณาคิดและตอบให้ด้วย

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2563