เผยแพร่ |
---|
ภาพยนตร์ The Two Popes โดย Netflix เป็นอีกเรื่องที่อ้างอิงบุคคลและเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาขยายความต่อเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่สะท้อนภาพช่วงเวลารอยต่อระหว่างพระสันตะปาปา 2 พระองค์ นั่นคือโป๊ปเบเนดิกต์ที่ 16 กับโป๊ปฟรานซิส
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้โจนาธาน ไพร์ส (Jonathan Pryce) รับบทเป็นโป๊ปฟรานซิส (Pope Francis) ขณะที่เซอร์แอนโธนี ฮอปกินส์ (Sir Anthony Hopkins) รับบทเป็นโป๊ปเบเนดิกต์ที่ 16 (Pope Benedict XVI) ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพระสันตะปาปาทั้งสองพระองค์ ท่ามกลางห้วงเวลาของรอยต่อการส่งตำแหน่งให้ “ฟรานซิส” ซึ่งขึ้นรับตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยฉากสมมติที่มีบทสนทนาระหว่างสองผู้นำคริสต์ศาสนา โรมันคาทอลิก ในช่วง 2012 ก่อนหน้าการเปลี่ยนผ่านตำแหน่ง และสถานที่ซึ่งถูกอ้างอิงในภาพยนตร์อีกแห่งหนึ่งที่สื่อบันเทิงพยายามนำเสนอเพื่อสะท้อนมุมที่คล้ายคลึงกันระหว่างบุคคลทั้งสองก็คือสถานที่สำคัญทางคริสต์ศาสนา โดยภาพยนตร์นำเสนอว่า ผู้นำทางศาสนาทั้งสองต่างชื่นชมผลงานภาพเขียนจากศตวรรษที่ 16 ของมิเคลันเจโล
จนถึงช่วงเดือนธันวาคม 2019 ยังไม่มีรายงานที่ยืนยันว่า โป๊ปทั้งสองได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว (โป๊ปไม่ได้เข้าชมการฉายภาพยนตร์รอบพิเศษที่วาติกัน) ขณะที่รายละเอียดบางส่วนของเรื่องนี้ก็ถูกแต่งเติมเข้ามา แต่จากการให้สัมภาษณ์ของไพรส์ นักแสดงนำรายหนึ่งในเรื่องเผยว่า พระคาร์ดินัลรายหนึ่งที่เขาพบในรอบฉายพิเศษ เข้ามาขอ DVD เพื่อไปให้โป๊ปฟรานซิสชม และเอ่ยว่า เขาเชื่อว่าโป๊ปฟรานซิสน่าจะชอบภาพยนตร์เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดบางส่วนในภาพยนตร์ยังอ้างอิงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อาทิ การพบปะกันระหว่างโป๊ปทั้งสอง (รายงานข่าวเผยว่า เคยพบกัน 3 ครั้ง) และรายละเอียดเรื่องรสนิยมของโป๊ปฟรานซิสที่พระองค์นิยมเครื่องดื่มชนิดหนึ่งด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง รายละเอียดบางส่วนก็เป็นการแต่งเติมเข้าไปตามจินตนาการเพื่อเพิ่มอรรถรส อาทิ ฉากที่โป๊ปทั้งสองชมฟุตบอลด้วยกัน และฉากที่กินพิซซ่าร่วมกัน (โป๊ปฟรานซิส เป็นแฟนฟุตบอลจริง แต่โป๊ปเบเนดิกต์ เป็นแฟนรถฟอร์มูล่าวัน)
ส่วนบทสนทนาระหว่างโป๊ปทั้งสอง แม้จะเป็นการแต่งขึ้น แต่ทีมงานแต่งขึ้นโดยอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์หรือแถลงการณ์ที่โป๊ปทั้งสองเอื้อนเอ่ยจริงในแต่ละห้วงชีวิตของท่าน ถึงจะอ้างแบบนี้ แต่นักวิจารณ์ภาพยนตร์บางส่วนมองว่า เนื้อหาในเรื่องก็ไม่ได้สะท้อนลักษณะตัวตนของโป๊ปทั้งสองพระองค์ได้ใกล้เคียงเท่าไหร่
การบอกเล่าเรื่องราวในภาพยนตร์สักเรื่องนอกจากต้องมีชั้นเชิงในการเล่า บท การแสดงที่ดีแล้ว สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยคือฉากที่สำคัญที่ใช้ในการถ่ายทำที่สามารถบอกเรื่องราวของภาพยนตร์ให้รายละเอียดและช่วยทำให้ภาพยนตร์สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่บางครั้งฉากที่ต้องการอาจเป็นสถานที่หวงห้ามจนไม่สามารถถ่ายทำในสถานที่จริง (วาติกันไม่อนุมัติให้เข้าถ่ายทำภาพยนตร์ใดๆ ยกเว้นแค่กรณีถ่ายทำสารคดีซึ่งวาติกันจะพิจารณาเป็นรายกรณีอีก) แต่เพื่อทำให้ภาพยนตร์ออกมาสมบูรณ์แบบจึงต้องสร้างฉากขึ้นมาใหม่ อย่างเช่นฉากโบสถ์ซิสทีน (Sistine Chapel)
โบสถ์ซิสทีนแห่งนี้เป็นโบสถ์ที่มีภาพเขียนสีอันเป็นงานสำคัญอีกชิ้นของมิเคลันเจโล (Michelangelo) ในศตวรรษที่ 16 ซึ่งทีมงานต้องหาวิธีคัดลอกรายละเอียดเหล่านี้มาใส่ในฉากจำลองเพื่อความสมจริง กรณีนี้ทีมงานได้รับคำแนะนำจากเอนริโก บรูชินี (Enrico Bruschini) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวาติกันในหลากหลายด้านแทบจะครบทุกซอกมุม เขามาเป็นที่ปรึกษาของภาพยนตร์เรื่องนี้
สมมติว่าทีมงานต้องสร้างฉากที่มีผลงานอันตระการตาของมิเคลันเจโล การวาดภาพขึ้นใหม่ทั้งหมดต้องใช้เวลาหลายเดือน หากใช้วิธีคัดลอกภาพลงบนกระดาษก็ย่อมทำให้ผลงานเดิมเสียหาย ทีมงานจึงอาศัยเทคนิก “Tatoo wall” กระบวนการคล้ายกับหลักการสักลายน้ำชั่วคราวบนผิวหนัง (ใช้แผ่นพิมพ์วางบนผิวหนังแล้วลูบน้ำให้ลวดลายติดกับผิวหนัง) อธิบายโดยคร่าว ในกรณีการสร้างฉาก ทีมงานใช้วิธีพิมพ์ภาพของภาพเขียนผนังลงฟิล์ม แล้ววางลงบนพื้นผิวที่เคลือบด้วยสารที่ดูดสีเพื่อจะให้นำไปปรากฏบนพลาสเตอร์ (Plaster)
การทำภาพขึ้นใหม่ ทีมงานต้องศึกษาภาพถ่ายจากบริษัทที่รับงานทำความสะอาดโบสถ์แห่งนี้เมื่อทศวรรษก่อน และจ้างศิลปินท้องถิ่นมาวาดภาพบางจุดในสัดส่วน 1 ใน 3 ภาพของภาพจริง จากนั้นก็ถ่ายภาพงานเขียนอีกรอบ แล้วเอาภาพที่ถ่ายมาขยายใหญ่ จากนั้นก็พิมพ์ภาพที่ขยายแล้วเพื่อมาคัดลอกลายลงบนพื้นผิวเหมือนเทคนิก “สักลายน้ำชั่วคราวบนผิวหนัง” กระบวนการนี้ก็ใช้เวลา 8 สัปดาห์แล้ว และต้องทำงานละเอียดด้วย เพราะการถ่ายทำจะต้องมีเฟรมภาพที่ถ่ายระยะใกล้ โดยเฉพาะในส่วนของภาพเขียน “The Last Judgment” ที่ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์มีบทสนทนาถึงผลงานชิ้นนี้
ภาพเขียนบนฝาผนัง “The Last Judgment” เป็นภาพที่บอกเล่าเหตุการณ์การพิพากษาครั้งสุดท้าย และการกลับมาของพระคริสต์ ดังจะเห็นว่าพระคริสต์อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของภาพ โดยรวมแล้วเป็นการเล่าเรื่องการตัดสินบาปของมนุษย์ แบ่งแยกเป็นส่วนบนและล่าง โดยฟากบนเป็นสวรรค์ ด้านล่างเป็นนรก
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ฉากซึ่งทีมงานสร้างขึ้นย่อมต้องถูกรื้อลงหลังจบงานเนื่องจากสตูดิโอที่เป็นสถานที่ถ่ายทำก็ต้องใช้พื้นที่สำหรับงานอื่น สำหรับผลงานที่ถูกรื้อออก ทีมงานเล่าว่า พวกเขาแบ่งภาพเป็นหลายส่วน แต่ละชิ้นก็กระจายไปอยู่กับมือของทีมงานผู้สร้าง และสมาชิกในทีม แล้วแต่ว่าใครมีกำลังขนไปแค่ไหน (ปูนหนานิ้วครึ่ง เมื่อแยกส่วนแล้วน่าจะหนักพอสมควรตามขนาดแต่ละส่วน)
แต่สำหรับผู้กำกับเรื่องนี้ เฟร์นันโด เมเรลเลส (Fernando Meirelles) มีรายงานว่า เขาไม่ได้ชิ้นส่วนของฉาก (ที่เป็นภาพผนัง) ติดมือไปแต่อย่างใด
อ้างอิง :
Brockhaus, Hannah. “Does ‘The Two Popes’ fairly represent Francis and Benedict? Critics say ‘no’”. Catholic News Agency. Online. Access 27 DEC 2019. <https://www.catholicnewsagency.com/news/does-the-two-popes-fairly-represent-francis-and-benedict-critics-say-no-77384>
LEE, ASHLEY. “‘The Two Popes’ couldn’t film inside the Sistine Chapel. So Netflix built a bigger one”. Los Angeles Times. Online. Published 20 DEC 2019. Access 27 DEC 2019. <https://www.latimes.com/entertainment-arts/movies/story/2019-12-20/two-popes-sistine-chapel-netflix>
Mandell, Andrea. “Fact check: Did ‘The Two Popes’ really bond over Fanta, pizza and soccer?”. USA TODAY. Online. Published 27 NOV 2019. Access 27 DEC 2019. <https://www.usatoday.com/story/entertainment/movies/2019/11/27/did-two-popes-francis-benedict-watch-soccer-eat-pizza-together/4312540002/>
Thomas, Huw. “The Two Popes: Jonathan Pryce’s ’emotional moment’ in Vatican”. BBC. Online. Published 19 DEC 2019. Access 27 DEC 2019. <https://www.bbc.com/news/uk-wales-50837607>
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 ธันวาคม 2562