สโนว์ไวท์-ซินเดอเรลล่า-เจ้าหญิงนิทรา นิยายที่เวอร์ชั่นเดิมน่าเศร้า-สยดสยอง?!

เทพนิยาย Beauty and the Beast
ภาพเทพนิยายเรื่อง Beauty and the Beast โดย Warwick Goble เมื่อปี 1913 (ภาพจาก Wikimedia Commons)

หากพูดถึงนิทานในเทพนิยาย คุณจะนึกถึงเรื่องอะไรบ้าง? ซินเดอเรลล่า, เจ้าหญิงนิทรา, สโนว์ไวท์, หนูน้อยหมวกแดง ฯลฯ ที่เคยฟัง เคยอ่าน หรือดู กันมาตั้งแต่เด็ก เนื้อหาของนิทานทั้งหมดที่จูงให้เด็ก ๆ หลายจินตนการว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง อยู่ในปราสาทใหญ่โต

แต่ที่มาของเทพนิยายในความเป็นจริงเป็นอย่างไร? ประวัติความเป็นมาของเทพนิยาย และความเปลี่ยนแปลงของเทพนิยายตลอดระยะเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างไร?

Advertisement

คำ ผกา และอรรถ บุนนาค เขียนเรื่องเหล่านี้ไว้ในหนังสือ “คิดเล่นเห็นต่าง” (สนพ. มติชน, 2555) ซึ่งขอสรุปบางส่วนมานำเสนอดังนี้

แฟรี่เทล

“เทพนิยาย” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ล้วนแต่มาจากกสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น “นิทานพื้นบ้าน (Folklore)”  หรือที่เรียกว่า “นิทานคติชน” มาจากนิทานพื้นบ้าน และแน่นอนว่ามาก่อนที่จะมีในยุคตัวเขียนหนังสือ เรียกว่าเป็น “มุขปาฐะ” คือการเล่าปากต่อปาก ซึ่งการเล่าแบบนี้ก็จะมีหลายเวอร์ชั่น แล้วก็จะมีการตัดเติมเสริมแต่งของเวอร์ชั่นตัวเองในการเล่าไปด้วย

ถ้าเปรียบเทียบกับของไทยก็อย่างเช่น ขุนช้างขุนแผน, ศรีธนญชัย ก่อนที่จะนํามาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็มีหลายเวอร์ชั่นมาก ขึ้นอยู่กับว่าถูกเล่าโดยใคร

เพราะฉะนั้น “นิทานพื้นบ้าน” ซึ่งในสมัยนั้นมีอยู่เยอะมาก ถ้าย้อนกลับไปคือมีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล แล้วก็ค่อย ๆ พัฒนาแตกสาย มาเรื่อย ๆ ไปเป็นภาษาอิตาเลียน ไปเป็นภาษาต่าง ๆ มากมาย คือประมาณปี ค.ศ. 1720/พ.ศ. 2263 ที่นิทานมุขปาฐะถูกบันทึก แล้วก็เริ่มจัดระบบหมวดหมู่ แล้วเกิดเป็น “ม็อง (Genre)” ของวรรณกรรมที่เรียกว่า “แฟรี่เทล (Fairy tale)” เกิดขึ้นมา

ซึ่งปี ค.ศ. 1720 ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Institutionalized คือถูกทําให้กลายเป็นสถาบัน แฟรี่เทลขึ้นมา ในยุคแรก ๆ นั้นมีคนพิมพ์หนังสือเทพนิยายขึ้นมาหลายคน ทั้งนักเขียนเยอรมัน นักเขียนฝรั่งเศส

คนที่จะอ่านแฟรี่เทลหรือมีหนังสืออ่านในยุคแรก ๆ นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นคนชั้นสูงที่อ่านหนังสือออก และอีกอย่างก็คือหนังสือในยุคนั้นมีราคาแพงมาก พอเป็นหนังสือขึ้นมา เทพนิยายเริ่มมีฟังก์ชันเป็นสิ่งกล่อมเกลาทางสังคม เป็นตัวสร้างจริยธรรมขึ้นมาผ่านนิทานสอนใจเหล่านี้ แต่มันมีช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ประมาณปี ค.ศ. 1789/พ.ศ. 2332 มีนักเขียนกลุ่มโรแมนติกเขียนเทพนิยายใหม่ แล้วเอาเทพนิยายต่าง ๆ มาเขียนแบบยาวและละเอียดลออมากขึ้น แต่ไม่ได้เขียนให้เด็กอ่านอีกต่อไป

เมื่อก่อนคนที่อ่านนิทานเหล่านี้ให้เด็กฟังก็เป็นพวกพี่เลี้ยง แม่ พวกครูสอนในบ้าน เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน พวกคนรวย ๆ ก็จะมีครูประจําบ้าน แต่พอมาเป็นยุคของนักเขียนโรแมนติกเริ่มแฝงเทพ นิยายฉาบเคลือบว่านี่คือ “แฟรี่เทล”

แต่แทนที่จะเป็นแฟรี่เทลเพื่อความบันเทิงอัศจรรย์ใจแก่ผู้อ่าน แต่แฝงการนําเสนอประเด็นที่เป็นประเด็นศิลปะ การเมือง ปรัชญา การศึกษา ความรักเอาไว้ด้วย งานเทพนิยายสกุลนี้ก็อย่างเช่นงานของนักเขียนชาวเยอรมันคือ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe)

เกอเธ่เขียนเทพนิยายที่มีความยาวและละเอียดลออขึ้นมาในปี ค.ศ. 1795/พ.ศ. 2338 ชื่อหนังสือว่า “The Green Snake and the Beautiful Lily” เพื่อที่จะเฉลิมฉลองหรือแสดงให้เห็นถึงพลังของการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่ว่าอยู่ในฉากของความเป็นเวทมนตร์ คือมีลักษณะของความเป็นเทพนิยาย

เพราะฉะนั้นตัวปีศาจ หรือตัวร้ายในเทพนิยายยุคนี้ก็จะเป็นตัวที่แสดงให้เห็นถึงความตื้นเขิน โง่เขลา ความที่ไม่สําเหนียกใจในความงาม ความลึกซึ้งของศิลปะหรือปรัชญาของบรรดาพวกชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ หรือไม่ก็ปีศาจในเทพนิยายเหล่านี้ก็จะเป็นพวกเหล่าอํามาตย์ที่เสื่อมทรามทั้งหลายก็จะอยู่ในเทพนิยาย

ความที่เป็นการเมืองมาพักหนึ่งในเทพนิยาย ปรากฏว่าต่อมาประมาณปี ค.ศ. 1820/พ.ศ. 2363 (เริ่มพิมพ์ออกมาในปี 1789) เทพนิยายเริ่มถูกรัฐบาลจับตามอง และเมื่อกลายเป็นหนังสือต้องห้าม เทพนิยายก็กลับมามีฟังก์ชั่นที่เป็น “นิทานสําหรับเด็ก” อีกรอบหนึ่ง

เพราะฉะนั้น เราก็จะกลับมาที่เทพนิยายแบบที่บ้านเรารู้จักกันมากที่สุดคือ “เทพนิยายกริมม์”

เทพนิยายกริมม์

เทพนิยายกริมม์พิมพ์ขึ้นมาครั้งแรกประมาณช่วงปี ค.ศ. 1812-57/พ.ศ. 2355-2400 และเทพนิยายกริมม์นี้แหละที่ถูกดิสนีย์นําไป “ปรับใช้” หรือ “พาสเจอไรซ์” ออกมาเป็นเวอร์ชันของดิสนีย์

ช่วงที่แฟรี่เทลหลุดจากความเป็น “การเมือง” มาเป็น “เทพนิยาย สําหรับเด็ก” ก็คือช่วงประมาณปี ค.ศ. 1830-1900/พ.ศ. 2373-2443 แล้วคนที่สําคัญมากอีกคนหนึ่งก็คือฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Christian Andersen) พิมพ์เทพนิยายออกมาในปี ค.ศ. 1835/พ.ศ. 2378 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ยุควิกตอเรียน (Victorian) ที่มีวรรณกรรมเยาวชนขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอัน

นับจาก ยุคของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน เทพนิยายเริ่มมีหน้าที่ทางสังคมอีก แบบหนึ่งในช่วงที่ยุโรปเรียกว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในอังกฤษก็เป็นยุควิกตอเรียน

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงปี ค.ศ. 1830-1900/พ.ศ. 2373-2443  เป็นต้นมา เทพนิยายในยุคนี้เป็นช่วงประจวบเหมาะกับที่สังคมยุโรปอยู่ในช่วงหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ยึดถือในปรัชญาที่เรียกว่าอรรถประโยชน์นิยม ซึ่งผู้คนมี ความเครียดสูง คนในสังคมอยู่ในยุคทํามาหากิน

แต่อีกด้านหนึ่งก็คือว่า การอยู่ในยุคทํามาหากินนั้นกลับทําให้คนมีเวลาว่าง พอมีเวลาว่างก็อ่านหนังสือ อ่านนิทาน อ่านนิยาย นั่งฟังฝันกันไปเพราะในขณะเดียวกันก็เป็นการหนีจากความเครียดในชีวิตประจําวันของคนเรา แต่ก็ยังโดนกดทับจากศีลธรรม

มีผู้วิเคราะห์ว่า เทพนิยายแบบนี้เริ่มสร้าง ผู้หญิงที่วัน ๆ ไม่ทําอะไร นอนรอแต่เจ้าชาย เหมือนเพลงของดิสนีย์ที่แต่ง ว่า “Someday my prince will come”

นอกจากนี้ยังมีเทพนิยายที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อย่างเช่น ปีเตอร์แพน แต่งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1904/พ.ศ. 2447 และพ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ (The Wonderful Wizard of Oz) แต่งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1900/2443 ซึ่งอันนี้อยู่ในอังกฤษ แล้วมันจะเชื่อมโยงกับไทยอย่างไร นั่นก็เพราะว่าปัญญาชนไทยในยุคนั้น (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5) ก็คือ บรรดาเจ้านายทั้งหลายเริ่มส่งลูกหลานไปเรียนในยุโรป ในอังกฤษ คือไปในช่วงที่สังคมอังกฤษอ่านปีเตอร์แพน อ่านพ่อมดมหัศจรรย์แห่งอ๊อช แล้วก็มีการเกิดของเทพนิยายเหล่านี้ขึ้นมา

ความสยองที่ซ่อนอยู่ในเทพนิยายกริมม์

ดิฉัน (คำ ผกา) จะขอสรุปเรื่องราวของเทพนิยายต่าง ๆ แบบคร่าว ๆ โดยสรุปจากเนื้อความที่คุณอรรถได้เล่าเอาไว้ในรายการ คือจะเล่าถึงเฉพาะบางช่วงบางตอน สองสิ่งที่ไม่เหมือน ไม่คุ้นเคยกัน

ในประเทศญี่ปุ่น มีนักวรรณกรรรมชาวญี่ปุ่นที่ศึกษาเรื่อง “fairy tale study” ชื่อ ซีเรียว มิซาโอะ เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ ในเทพนิยายกริมม์” และต่อมามีเวอร์ชั่นของแอนเดอร์สันในภายในหลัง กล่าวถึงเทพนิยายเล่มดังหลายเล่มไว้ว่า

สโนว์ไวท์

เริ่มที่เรื่อง “สโนว์ไวท์”  ฉบับที่กริมม์เขียนไว้เวอร์ชั่นแรกว่าเป็นอย่างไร ชิเรียว มิซาโอะ บอกว่า จริง ๆ แล้ว “แม่เลี้ยงใจร้าย” นั้นไม่ใช่แม่เลี้ยง แต่เป็นแม่ที่แท้จริงซึ่งจับได้ว่า พระราชาคือสามีตัวเองนั้นแอบมีอะไรกับลูกสาวแท้ ๆ เพราะว่าสโนว์ไวท์ยังสาวยังผุดผาดอยู่ แม่ก็เกิดความอิจฉาริษยา เลยให้นายพรานล่อลวงไปฆ่า เพื่อที่จะให้เห็นว่าตายจริงก็สั่งว่านายพรานต้องควักเอาตับไตของสโนว์ไวท์มาให้ดู แล้วแม่จะเอามาต้มเกลือกิน แต่ตอนหลังกระจกวิเศษก็บอกว่า สโนว์ไวท์ยังมีชีวิตอยู่

สโนว์ไวท์รอดจากการตามฆ่าของแม่ถึง 3 ครั้ง ก่อนที่จะฆ่าสําเร็จในครั้งสุดท้าย แล้วตอนที่กินผลแอปเปิลแล้วสลบไป ตายไป ที่นี้ “เจ้าชาย” ซึ่งฉบับจริงไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แต่ในเวอร์ชั่นดิสนีย์จะให้เห็นว่าเจ้าชายมาเจอสโนว์ไวท์ก่อน จู่ ๆ โผล่มาเจอแล้วก็หลงรักสโนว์ไวท์

อันนี้ก็คือซิเรียว มิซาโอะ เขาตีความว่า จริง ๆ แล้วเจ้าชายเป็นพวกที่ชอบมีอะไรกับศพ แบกสโนว์ไวท์ขึ้นหลังม้าเพราะตั้งใจจะเอาศพไปข่มขืน แล้วปรากฏว่าพอขึ้นหลังม้าโยก ๆ ไป แอปเปิลที่ติดหลอดลมติดคออยู่ก็หลุดออกมา สโนว์ไวท์เลยฟื้นขึ้นมา

เขาบอกว่าจริง ๆ สโนว์ไวท์ตายไปแล้ว 3 หน แล้วฟื้นขึ้นมาเป็นซอมบี้ เป็นผีดิบขึ้นมา นี่คือสโนว์ไวท์ฉบับที่เป็นเวอร์ชั่นแรกของกริมม์ ก่อนที่จะกลายมาเป็นสโนว์ไวท์ในแบบฉบับ ของดิสนีย์ที่เราคุ้นชินกันทุกวันนี้

สโนว์ไวท์
ภาพวาด สโนว์ไวท์ ปี 1852

ซินเดอเรลล่า

เรื่องต่อมาคือ “ซินเดอเรลล่า” เริ่มจากคําว่า “ซินเดอเรลล่า” ก่อน อันที่จริงควรจะเรียกว่า “แม่ทูนหัว” (ที่คอยมาเสกเสื้อผ้า เสกรถฟักทอง) แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แม่ทูนหัว เป็นน้าสาวของซินเดอเรลล่า เมื่อพ่อแม่ตาย พ่อก็เอามรดกเอาเงินทองไปฝากไว้กับน้าสาว เพราะกลัวว่าลูกสาวจะไม่มีใช้เมื่อโตขึ้น น้าสาวก็เป็นคนที่คอยดูแล

คําว่า “ซินเดอเรลล่า” มีรากศัพท์มาจากคําว่า “ก้นขี้เถ้า” อันนี้ แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เธอคือผู้หญิงที่ไม่มีชื่อ แล้วถูกเรียกด้วยสมญาว่า “ก้นขี้เถ้า” เป็นสัญลักษณ์ว่าอยู่แต่ในครัว ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันด้วย

ทีนี้แม่ทูนหัวหรือแม่เลี้ยงที่เป็นน้าสาวก็คอยไปเอาเงินที่แม่ของเธอให้ไว้มาซื้อเสื้อผ้า ซื้ออะไรให้ซินเดอเรลล่าใส่ไปงานเลี้ยงเต้นรําของเจ้าชาย

แล้วความโหดร้ายของเวอร์ชั่น (กริมม์) นี้อยู่ที่เรื่องรองเท้าแก้ว ที่ซินเดอเรลล่าทําหล่นไว้นั้น คือพี่สาวต่างแม่ทั้ง 2 คนพยายามจะใส่ รองเท้าแก้วแต่ใส่ไม่ได้ แม่ก็เลยให้พี่สาวคนแรกตัดนิ้วเท้าออกเพื่อที่จะใส่ลงไปให้ได้ แต่ความแตกตอนเลือดไหลออกมาท่วมรองเท้า เจ้าชายเลยจับได้ว่าไม่ใช่ตัวจริง แล้วพี่สาวอีกคนก็ต้องเฉือนส้นเท้าออกจนกระทั่งใส่ได้

แล้วที่สําคัญคือ ตอนจบในงานแต่งงานของซินเดอเรลล่ากับเจ้าชาย ปรากฏว่าซินเดอเรลล่าไม่ได้เป็นหญิงสาวที่แสนดี ให้อภัยแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสอง แต่ซินเดอเรลล่าเอารองเท้าเหล็กไปเผาไฟแล้วก็ให้แม่เลี้ยงใส่ออกไปเต้นระบำจนตาย (อันนี้น่ากลัวมาก)

เจ้าหญิงนิทรา

แล้วก็มาต่อด้วยเรื่อง “เจ้าหญิงนิทรา” นั้นจบด้วยเจ้าชายมาจุมพิตเจ้าหญิงนิทรา จนกระทั่งได้แต่งงานและครองเมือง หลังจากนั้นก็มีเรื่องต่อว่า เมืองที่ไปครองนั้นแม่ของเจ้าชายที่เป็นพระราชินีในเมืองเป็น “ยักษ์” แล้วในยุคนั้นเจ้าชายก็ต้องไปออกรบ ไม่ได้อยู่แต่ในปราสาท ทีนี้แม่ผัวที่เป็นยักษ์ก็คอบจ้องจะกินเลือดกินตับของลูกสะใภ้ แล้วพอลูกสะใภ้มีลูกชายก็จ้องจะกินหลานด้วย

เจ้าหญิงออโรร่าหรือเจ้าหญิงนิทราก็เลยต้องอยู่ด้วยความหวาดผวา คอยหลบแม่ผัวอยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ไป

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็คือความเป็นมาของเทพนิยาย ซึ่งอายุของเทพนิยายในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีมาหลายร้อยปีเหลือเกิน แล้วเราก็จะเห็นว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในพื้นที่ของครอบครัวเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้, พี่น้อง รวมถึงความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว แล้วก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้การใช้นิทานได้เป็นที่ปลดปล่อยหรือระบายความตึงเครียดที่เกิด

ก่อนที่วอลท์ ดิสนีย์ จะพาสเจอไรซ์เทพนิยายให้กลายเป็นนิทานสอนศีลธรรมสำหรับเด็ก ที่ตอนจบของเรื่องเหมือนเทพนิยายที่เราคุ้นเคยคือ And they lived happily ever after-แล้วพวกเขาก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ธันวาคม 2562