นักวิจัยเชื่อพบร่าง “นักบินหญิงในตำนาน” ผู้บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นคนแรก

ภาพถ่ายเมื่อ 20 พฤษภาคม 1937 ของเอมิเลีย เอียร์ฮาร์ต ในห้องควบคุมการบินของเครื่องบิน Lockheed 10 Electra ของเธอ (AFP PHOTO / The Paragon Agency / Albert Bresnik)

เอมิเลีย เอียร์ฮาร์ต (Amelia Earhart) นักบินชาวอเมริกัน ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยตัวคนเดียว ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1937 (พ.ศ. 2480) บริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างพยายามเดินทางรอบโลก

หลายคนเชื่อว่า เครื่องบินของเธอที่เธอร่วมโดยสารมาพร้อมกับ เฟรด นูนาน (Fred Noonan) ผู้นำทาง ได้ประสบเหตุเครื่องตกลงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่เดินทางไปได้ 2 ใน 3 ของเส้นทางที่เธอตั้งเป้าเอาไว้

TIGAHR (The International Group for Historic Aircraft Recovery) องค์กรที่ศึกษาเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางอากาศที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ได้ออกมาเสนอทฤษฎีใหม่ว่า ความจริงแล้ว เธอสามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกมาได้ และน่าจะมีชีวิตอยู่บนเกาะร้างได้นานระยะหนึ่ง โดยอ้างว่า โครงกระดูกที่พบบนเกาะนิกุมาโรโร (Nikumaroro) ประเทศคิริบาส (Kiribati) เมื่อปี 1940 น่าจะเป็นร่างของ เอียร์ฮาร์ต

ภาพถ่ายเมื่อ 20 พฤษภาคม 1937 ของเอมิเลีย เอียร์ฮาร์ต กับเครื่องบิน Lockheed 10 Electra ของเธอ (AFP PHOTO / The Paragon Agency / Albert Bresnik)
ภาพถ่ายเมื่อ 20 พฤษภาคม 1937 ของเอมิเลีย เอียร์ฮาร์ต กับเครื่องบิน Lockheed 10 Electra ของเธอ (AFP PHOTO / The Paragon Agency / Albert Bresnik)

“ก่อนที่เราจะเริ่มการศึกษาโครงกระดูกดังกล่าว เรารู้ว่า สิ่งที่รับรู้กันในประวัติศาสตร์ เอมิเลีย เอียร์ฮาร์ต เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1937 จากเครื่องบินตก แต่ยังมีเรื่องราวตอนสุดท้ายของชีวิต เอียร์ฮาร์ต ที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ เธอยังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดได้อีกหลายวันหรืออาจจะหลายเดือนบนเกาะร้างอย่างกล้าหาญ” ริก กิลเลสพี (Ric Gillespie) ผู้อำนวยการใหญ่ของ TIGHAR กล่าวกับ CNN

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีใครคิดว่า โครงกระดูกดังกล่าวเป็นของ เอียร์ฮาร์ต เนื่องจากเจ้าหน้าที่อังกฤษที่เข้าไปตรวจสอบเชื่อว่า มันเป็นโครงกระดูกของผู้ชาย

แต่ในปี 1998 TIGHAR ได้พบเอกสารต้นฉบับซึ่งมีรายละเอียดจากการตรวจวัดโครงกระดูก และส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบด้วยองค์ความรู้สมัยใหม่ และพบว่า โครงกระดูกดังกล่าวน่าจะเป็นของผู้หญิงที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกับ เอียร์ฮาร์ต และน่าจะเป็นผู้ที่มีเชื้อสายเดียวกันด้วย

นอกจากนี้ TIGHAR ยังอ้างว่าได้พบบันทึกที่ยืนยันได้ว่า เอียร์ฮาร์ท พยายามใช้วิทยุขอความช่วยเหลือเป็นร้อยครั้ง ระหว่างวันที่ 2-7 กรกฎาคม 1957 ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ตัดความเป็นไปได้ว่า เครื่องบินของเธอตก เนื่องจากวิทยุของเครื่องบินจะไม่สามารถใช้งานได้ หากเครื่องยนต์ไม่ทำงาน

อย่างไรก็ดี โอกาสที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าโครงกระดูกที่พบในปี 1940 เป็นของเอียร์ฮาร์ตจริงก็คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากโครงกระดูกดังกล่าวได้หายไปอย่างลึกลับเพียงไม่นานหลังจากที่ถูกพบ เหลือเพียงภาพและผลการตรวจวัดเหลือไว้ให้ศึกษาเท่านั้น


เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2559